วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันนี้ขอแนะนำร้านอาหารเมนูเด็ด จานโปรดของผมน่ะครับ

เริ่มต้นจากอาหารไทยที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ ส้มตำ ของร้าน ส้มตำเจ้าแรก ที่ห้างสรรพสินค้าพาราไดซ์ปาร์ค

ถนนศรีนครินทร์ ซึ่งมีราคาย่อมเยาว์ และปลอดผงชูรสเสียด้วย บอกได้คำเดียวเลยครับว่า

รสชาติเยี่ยมยอด

มาดูรูปกันเลยดีกว่าครับ

ส้มตำไทย รสชาติกลมกล่อม สุดยอด!
ต่อด้วยลาบหมู ที่รสชาติเปรี้ยวนำ อร่อยจนเกินคำบรรยาย

ซึ่งส้มตำ ลาบหมู กินแกล้มกับข้าวเหนียว พร้อม ไก่ทอด บวกน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ด มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆเลย ครับ
 หลังจากอิ่มอร่อยกับส้มตำรสชาติสุดยอดเกินคำบรรยายแล้ว เราก็เดินเล่นในห้างซักพัก พอหนังท้องอิ่ม หนังตาก็เริ่มหย่อนจึงต้องพักทานเครื่องดื่มซักหน่อย

เราเลยแวะมาที่ร้าน ภูฟ้า ซึ่งเป็นร้านในโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระเทพฯ 






รสชาติสุดยอด กับ บรรยากาศที่น่านั่ง เล่นเอาผมเกือบหลับคาคอมขณะนั่งทำงานกันเลยทีเดียว สรุปแล้ววันนี้ งานที่ทำไม่เสร็จครับ เพราะบรรยากาศในห้างสรรพสินค้านี่หล่ะ TT เศร้ากันเลยทีเดียว

ท่านผู้อ่านคนใดสนใจแวะมาได้น่ะครับ ที่ห้างพาราไดซ์พาร์ค ถนนศรีนครินทร์ ร้านภูฟ้าอยู่บริเวณ ชั้น 2 ฝั่งโฮมโปร  ส่วนร้านส้มตำอยู่ชั้นล่าง โซนตลาดเสรีมาร์เก็ต 

รู้สึก จึงเขียน 'มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา'

ก้าวแรกนั้นที่รู้ว่าตนเองแอดมิชชั่นติดราชภัฏสวนสุนันทา ผมได้บอกได้ตามตรงเลยว่า รู้สึกเฉยชากับการที่ได้เข้ามาเรียนที่นี่ พร้อมที่บ้านแนะนำให้ไปศึกษาต่อที่อื่นดีกว่าหรือเปล่า ซึ่งผมได้แสดงจุดยืนของผมไปว่า "มหาลัยไหนมันก็เหมือนกันแหละหน่ะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา" ซึ่งหลังจากมอบตัวเข้ามาเป็นนักศึกษาอย่างเต็มตัวแล้ว ผมได้เห็นอะไรมากมายในสวนสุนันทา กว่า 3 ปีที่ได้เรียนอยู่ที่นี้

อย่างที่ทุกคนรู้กัน ทุกๆอย่างที่เป็นธรรมชาติย่อมไม่มีดีเสมอไป 'สวนสุนันทา' เองก็เช่นกัน ผมเห็นข้อดีเยอะ และผมก็เห็นข้อเสียเยอะ

แต่ผมขอพูดถึงในข้อเสียก่อนล่ะกัน  เผื่อผู้บริหารและอาจารย์เข้ามาอ่านจะได้นำไปปรับปรุง

สวนสุนันทานั้นหากมองจากภายนอก เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยงามร่มรื่น แต่หากคุณเข้ามาเหยียบอย่างเต็มตัวแล้ว จะตอบได้เลยว่า "สวยแต่รูป จูบไม่หอม" เพียงแค่ผมเห็นอาคารเรียนของผมที่ต้องเรียนด้วยกันมาตลอด 3 ปีนี้ ผมถึงกับเข่าทรุดไปตามอาคาร  เพราะอาคารของผมนั้นทรุดโทรมจนเกินคำบรรยาย อีกทั้งพอมารู้ว่า พรึ่งปรับปรุงมาได้ไม่นาน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า มหาวิทยาลัยนั้นเมินเฉยต่อสิ่งที่ควรทำหรือเปล่า

และด้วยเลือดของนักวารสาร ต้องรู้จักมองหลายด้าน หลังจากการได้เรียนรู้ ศึกษา และทำข่าวภายในมหาวิทยาลัย ยิ่งทำให้ผมมีความรู้สึกต่อทีมผู้บริหาร และ คณาจารย์บางท่านเป็นอย่างมาก ในเรื่องของกระบวนการความคิด ว่า "เงินคือพระเจ้า" สมัยนี้ "การเรียนคือการลงทุน" การลงทุนจำเป็นหรือที่ต้องใช้เงิน การลงทุนอาจจะเป็นการลงแรง หรือ ลงความสามารถลงไปก็ได้มิใช่หรือ ผมไม่ขอพาดพิงถึงอาจารย์คนไหน แต่ถ้า เพื่อนๆเข้ามาอ่าน เพื่อนๆที่เป็นเลือดสุนันทา จะตอบโจทย์นี้ได้อย่างชัดเจน

ในด้านทีมผู้บริหาร ซึ่งในขณะนี้ถือว่าเป็นข้อกังขามาก กับการบริหารงาน ผมได้สัมภาษณ์ ท่านรองฯ ฝ่ายต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย บุคลากรทั้งหลายเหล่านี้ เค้ามีหน้าที่อะไร? ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมสงสัยมาตลอด หลังจากได้ทำข่าว ผมจึงทราบเลยว่า มีหน้าที่ตอบปัดคำถามของนักศึกษา ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ เพียงแต่พูดว่าพวกเรายังเด็ก ยังไม่เข้าใจที่ผู้ใหญ่เค้าทำกันหรอก แล้วถ้าผู้ใหญ่ไม่พูดให้เด็กฟัง เมื่อไหร่เด็กมันจะเข้าใจหล่ะครับ และผมก็สงสัยอีกว่า ผู้บริหารมีหน้าที่ชี้แจงให้ประชาคมรับทราบถึงสิ่งที่ทำอยู่มิใช่หรือ ไม่ใช่ว่ามหาวิทยาลัยจ้างมาให้ ปิดบังความลับ จริงหรือไม่

ทั้งนี้แล้วผมไม่ได้ที่จะจ้องทำลายมหาวิทยาลัยน่ะครับ แต่ผมอยากให้ผู้บริหาร หรืออาจารย์มุ่งไปที่การพัฒนา และพร้อมที่จะปั้นนักศึกษาให้มีคุณภาพ มากกว่า การที่จะมุ่งหาผลประโยชน์เข้าตัว

เพื่อมหาวิทยาลัยของเรา อาจารย์มีคุณภาพ นักศึกษามีคุณภาพ สุดท้าย ใครๆก็อยากมาเรียน ชิมิชิมิ

มาถึงด้านดี นี่ไม่ใช่การตบหัวแล้วลูบหลังน่ะครับ ข้อดีของม.เรานั้นเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม มีธรรมชาติร่มรื่น มีกลิ่นอายวัฒนธรรม มีความเป็นชาววัง

ถ้าหากผมพูดอะไรผิดก็ขอโทษด้วยน่ะครับ นี่เป็นแค่การแสดงความคิดเห็นในมุมมองส่วนตัว

ชีวิตสองด้าน ‘นักศึกษาภาควิชา นักดนตรีกลางคืน’



นักดนตรีกลางคืนคงไม่ใช่อาชีพที่ใครหลายๆคนใฝ่ฝันกันมากเท่าไหร่ เพราะว่าสังคมในปัจจุบันนั้นดูหมิ่นเหยียดหยาม ความเป็นศิลปินหลักลอยที่ล่องลอยไปบนถนนหนทางยามค่ำคืน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ความจริงถึงความลำบากแสนเข็ญกว่าจะได้เงินเพื่อมาประทังชีวิต และต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอดกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน
                นักศึกษา ถือว่าเป็นกลุ่มหนึ่งที่ประกอบอาชีพนักดนตรีกลางคืนสูงที่สุดก็ว่าได้ ความใฝ่ฝันของเด็กคนหลายๆคนที่อยากจะหาเลี้ยงตนเองให้ได้ ด้วยการพึ่งพาความสามารถของตนเอง โลดแล่นเพื่อหาทุนทรัพย์ผ่านเสียงดนตรี จุดเริ่มต้นของอาชีพนักดนตรีนั้น ยากลำบากกว่าที่วาดฝันไว้ หากใช่เพียงแต่คุณมีความสามารถแล้วคุณจะมีร้านเล่นได้ ในยุคปัจจุบัน ความสามารถอย่างเดียว ผมว่าคงไม่พอ หากแต่ว่าคุณนั้นต้องมีหน้าตา ผิวพรรณที่ดี หน้าตา สวย หล่อ ให้ผู้คนกรี๊ดกร๊าด ยามคุณขึ้นยืนสง่าอยู่บนเวที และสิ่งที่คุณต้องมี คือต้นทุนในการเล่นดนตรี
                หลายๆคนคงสงสัยว่าเล่นดนตรีนั้นต้องมีต้นทุนด้วยหรอ? ผมคงตอบได้อย่างชัดเจนเลยครับว่ามี และคงไม่ใช่มีต้นทุนธรรมดา แต่คุณนั้นต้องมีต้นทุนอย่างมากกับการลงทุนในครั้งนี้ ซึ่งเราจะแบ่งต้นทุนนั้นออกเป็น 2 แบบ คือ ๑) ต้นทุนทางความสามารถ ซึ่งหาไม่ได้จากร้านค้าหรือตามตลาดแผงลอยทั่วไป แต่ต้องหาจากความขยันภายในตัวของเราเอง ต้องหมั่นซ้อม และมีความกล้าแสดงออก ๒) นั่นก็คือ ต้นทุนที่เป็นเม็ดเงิน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เครื่องดนตรีทั้งหลายคงต้องนำเม็ดเงินที่มีอยู่ไปแลกมาเพื่อให้ได้อุปกรณ์ในการไปประกอบอาชีพ และไหนจะอีกทั้งค่าห้องซ้อมต่างๆนานา ที่จะตามมาในภายภาคหน้า และอุปกรณ์ทั้งหลายเหล่านี้ราคานั้นเรียกได้ว่ามหาศาลอยู่พอตัวเลยทีเดียว
                ความยากลำบากนั้นยังไม่จบเพียงแค่ หน้าตา ความสามารถ และต้นทุน แต่คงเลี่ยงไม่ได้กับภาระหน้าที่หลักนั่นคือ การศึกษา หากคุณไม่สามารถทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปจากชีวิตของคุณได้ คุณคงต้องเลือกทำทั้งสองอย่างในเวลาที่เหลื่อมล้ำกัน ชีวิตของผมนั้นผ่านตรงจุดนี้มาแล้ว ทำให้ผมสามารถมองโลกได้กว้างขึ้นจากจุดที่ตนเองเคยผ่านมา ชีวิตการเป็นนักศึกษา กึ่ง นักดนตรีนั้นยากลำบากกว่าที่คิด หากคุณต้องตื่นเช้าเพื่อมาเข้าเรียนให้ทันวิชาแรก และคุณต้องรีบออกจากมหาวิทยาลัยในตอนเย็นเพื่อสลัดคราบความเป็นนักศึกษาออกเพื่อมุ่งหน้าให้ความบันเทิงแก่ผู้คนยามราตรี ใช่แล้วครับ เวลาพักผ่อนตามหลักสากลนั้นคุณแทบจะลืมไปเลยว่า ในช่วงวัยนี้ ต้องพักผ่อนกี่ชม.ต่อหนึ่งวัน แล้วไหนจะต้องต่อสู้กับการแย่งชิงเกรดมาจากอาจารย์ผู้สอน เพื่อไม่ให้ตนเองถูกรีไทล์ก่อนกำหนดอีกด้วย
แต่ความเหนื่อยนั้น เมื่อคุณเห็นเม็ดเงินที่ตามมา ผมถือว่าคุ้มค่า ในอาทิตย์หนึ่งนักดนตรีกลางคืนสามารถหาเงินได้ถึง ๓,๕๐๐ บาทในขั้นต่ำ(เล่นทุกวัน) แต่หากคุณมีหน้ามีตา มีแขกติดทำให้สถานบันเทิงมียอดขายเครื่องดื่มพุ่งกระฉูด คุณคงไม่อยากนึกเลยสิท่า ว่ารายได้มันจะพุ่งกระฉูดขนาดไหน ผมบอกได้เลยว่า ๕,๐๐๐-๘,๐๐๐ บาทขึ้นไปต่อหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งถ้าตีออกมาเป็นเงินเดือน คงสูงกว่าแรงงานปริญญาตรีในปัจจุบันแน่นอน แต่ในทางกลับกันเปอร์เซ็นต์การแย่งงานนั้นสูงมากพอสมควร เพราะเป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้ใบปริญญาในการทำมาหากิน
แต่ชีวิตของคนเรามันคงไม่เป็นดั่งฝันเสมอไป ดั่งพระพุทธศาสนาสอนให้เรารู้ว่า มีสุข ต้องมีทุกข์ เป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อเรามีความสุขกับเงินเดือนที่สูงริบแล้ว แต่หากเราหลงระเริงกับแสงสีเสียง และสิ่งของอบายมุข ไม่ว่าจะเป็น บุหรี่ สุรา รวมไปถึง นารี เงินที่คุณหามาได้ทั้งหมดนั้นจะหายไปในชั่วพริบตาเดียว และสิ่งที่ตามมานอกจากทรัพย์ที่ได้มาแล้ว คงเป็นความทุกข์จากโรคประจำตัว หรือความทุกข์จากหนี้สินก็ว่าได้หากยังใช้ชีวิตแบบนี้ทุกๆวัน ร่างกายคนเราก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักร ที่ต้องการน้ำมันหล่อลื่น หรือการซ่อมบำรุง เพียงแต่ร่างกายเรานั้น ต้องการการพักผ่อน ลองจินตนาการภาพตามผมน่ะครับ หากเครื่องจักรทำงานวันล่ะ ๒๐ ชั่วโมง ซักวันหนึ่งมันคงต้องพังลง และแน่นอนโรงงานคงต้องหาเครื่องใหม่มาแทนของเก่าที่เสียไป เช่นเดียวกับนักดนตรีกลางคืนหล่ะครับ คุณไม่สามารถยืนหยัดใช้ชีวิตเช่นนี้ได้ตลอด หากวันไหนคุณล้มเจ็บ ทางร้านก็คงต้องหาคนใหม่มาแทนที่คุณและในบางครั้งโอกาสที่คุณอาจจะตกงานนั้นก็มีสูงตามไปด้วย และไหนจะเป็นเรื่องทางด้านความชราภาพตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งการตลาดของสถานบันเทิง เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า คนแก่จะทำให้เด็กกรี๊ดได้ยังไง หากคุณไม่ใช่ เคน ธีรเดช หรือ โดม ปกรณ์ ลัม นั่นหล่ะเป็นเหตุผลที่ทำให้อาชีพนักดนตรีกลางคืนไม่ยั่งยืน เพราะหากแก่ตัวไป เราคงเปรียบเสมือนน้ำอัดลมกระป๋อง เมื่อหมดความซ่า ผู้คนก็โยนลงถังขยะ
เพราะฉะนั้นแล้ว อาชีพนักดนตรีกลางคืนถือว่าเป็นอาชีพทางเลือกอีกทางเลือกหนึ่งของนักศึกษาในปัจจุบัน เพียงเพราะใจรักในดนตรี และ เป็นหนทางในการหารายได้พิเศษเพื่อมาจุนเจือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่พวกเราควรมุ่งเป้าหมายให้ประสบความสำเร็จในชีวิต นั่นก็คือการศึกษา หากคุณมีการศึกษาที่ดีแล้ว ความสามารถที่ตามมาอาจช่วยเป็นตัวบุกเบิกให้ชีวิตของคุณประสบความสำเร็จได้เช่นกัน



  
               
                

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์เจ้าฟ้า

หอศิลป์เจ้าฟ้าเป็นศูนย์กลางการเก็บรักษาและการจัดแสดงผลงานทั้งศิลปะแบบไทยประเพณีและศิลปะร่วมสมัย ของศิลปินที่มีชื่อเสียงของประเทศ ทั้งประเภทจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์และสื่อผสม ฯลฯ


เนื่องในงานวันเด็กแห่งชาติ ทีมงานจากนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ สาขานิเทศศาสตร์
เอกวารสารศาสตร์
ได้จัดงานสร้างความบันเทิงให้กับน้องๆ ที่มาเยี่ยมชมงานวันเด็ก ภายใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์เจ้าฟ้า ซึ่งตั้งอยู่เขตพระนคร ใกล้กับสะพานพระปิ่นเกล้า 






ในวันนั้นมีน้องๆมาร่วมสนุกกันมากมายตั้งแต่เช้า โดยมีกิจกรรมต่างๆมากมาย อาธิเช่น
การสอนเด็กมัดลูกโป่งให้เป็นรูปร่าง สอนการพิมพ์ภาพด้วยแม่พิมพ์ และเกมส์ต่างๆ 








หลังจากเสร็จกิจกรรมนันทนาการแล้ว พวกพี่ๆนั้นก็เริ่มทำการแสดงที่ได้จัดเตรียมมา เพื่อสร้างความสนุกสนานให้น้องๆได้ชมกัน
หลังจากการแสดงทั้งหมดเสร็จสิ้น ก็เป็นอันว่า งานทั้งหลายจบลงด้วยดี พร้อมทั้งได้สร้่างความสนุกสนานให้เด็กๆเป็นอย่างมากอีกด้วย


วันนี้พวกเราเหนื่อยกันทุกคน แต่เห็นรอยยิ้มจากน้องๆ แล้ว หายเหนื่อยทันทีเลยจ้า ^^
ทีมงานสร้างความบันเทิงให้กับน้อง จากวารสาร มรภ.สวนสุนันทา



ปล. วลาทำการ ทุกวัน เวลา 9.00 – 16.00 น.
ค่าเข้าชม คนไทย 30 บาท  คนต่างชาติ 20 บาท 
นักเรียน นักศึกษาในเครื่องแบบ พระภิกษุ สามเณรและนักบวชในศาสนาอื่น ไม่เสียค่าเข้าชม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.hardcoregraphic.com/webboard/index.php?topic=922.0 

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อนาคตเส้นทางการศึกษาของเยาวชน ทางเลือกที่ต้องการผู้ชี้นำ

การศึกษาของไทยในปัจจุบัน ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเยาวชนไทย ซึ่งหากเปรียบเทียบการศึกษาแล้ว การศึกษาคงเปรียบเสมือนถนนหนทางที่นำเราไปสู่จุดมุ่งหมายในวันข้างหน้า หากแต่ถนนหนทางนั้นไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียวที่จะพาเราไปสู่จุดมุ่งหมาย เฉกเช่นเดียวกับการศึกษาที่มีเส้นทางหลายสายให้เราได้เลือกและแต่ละเส้นทางจะมีอุปสรรคต่าง ๆ นานา ถ้าหากเราเลือกผิดเส้นทาง เราอาจจะหลงทางและไปสู่จุดมุ่งหมายที่วางไว้อย่างล่าช้า หรือหากไปถึงก็อาจจะไม่มีที่ว่างให้สำหรับเราก็เป็นได้
            ในปัจจุบันประเทศของเรามีทางเลือกทางการศึกษาให้เลือกหลายทาง ไม่ว่าจะเป็น การศึกษาในระบบ ซึ่งแบ่งออกเป็น การศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ระดับประถมจนถึงระดับมัธยมปลาย และการศึกษาในขั้นอุดมศึกษา คือ ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก โดยการศึกษาในระบบนั้นจะเป็นการศึกษาที่มีรูปแบบและระบบแบบแผนชัดเจน มีการกำหนดวัตถุประสงค์ หลักสูตรวิธีการจัดการเรียนการสอน การวัดผล และการประเมินผลที่แน่นอน อีกทางก็คือ การศึกษานอกระบบ เป็นหลักสูตรที่มีความยืดหยุ่น ไม่มีข้อจำกัดด้านอายุ มีการกำหนดจุดมุ่งหมาย หลักสูตร วิธีการเรียนการสอน สื่อ การวัดผลและประเมินผลที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ คือ สายสามัญ สายอาชีพ และ สายความรู้ทั่วไป และทางเลือกสุดท้าย เป็นการศึกษาตามอัธยาศัย คือการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อมหรือแหล่งความรู้อื่น ๆ
            ส่วนใหญ่แล้วระบบที่ได้รับการตอบรับในประเทศของเรามากที่สุด คือ การศึกษาในระบบ เพราะมีรูปแบบ หลักสูตร การวัดผลที่แน่นอนกว่าระบบอื่น ๆ การเรียนการสอนทั่วไปของหลักสูตรการศึกษาในระบบ คือจะเน้น 8 กลุ่มสาระวิชาเป็นหลัก ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ศิลปะ สุขศึกษาและพลศึกษา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่เด็กทุกคนต้องเรียนรู้ แต่การเรียนรู้ก็ต้องมีทางแยก เพื่อให้เราเลือกว่าจะไปทางไหนจึงจะถึงจุดมุ่งหมายที่เราได้วางไว้ หรือ เป็นการตีกรอบความต้องการของตัวเองให้แคบลงนั่นเอง ซึ่งโดยปกติแล้วระบบการศึกษาของประเทศเรานั้นหลังจากจบมัธยมต้นแล้วเด็กทุกคนจะต้องเลือกทางของตนเองว่า จะเรียนต่อสายสามัญ คือ ต้องเลือกสายวิชา ด้านวิทย์-คณิต ,อังกฤษ-คณิต หรือ ศิลป์ภาษา หรือ สายอาชีพก็จำเป็นต้องเลือกสาขาวิชาที่เราต้องการจะเรียน
           
หลังจากเลือกสายวิชาได้แล้ว ระบบการศึกษาจะกำหนดทิศทางให้เรา ในการให้ความสำคัญกับเนื้อหาของกลุ่มวิชาที่เราเลือกไว้ เพื่อกำหนดทิศทางในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง ซึ่งถึงจุดนี้ จะมีปัจจัยหลายๆอย่างที่จะเป็นกำหนดทิศทาง ซึ่งเปรียบเสมือน เนวิเกเตอร์ บนรถยนต์ ที่เป็นตัวบอกทิศทางให้เราสามารถเดินไปในทิศทางใดเพื่อให้ไปสู่จุดมุ่งหมาย แต่ทว่า ปัจจัยทั้งหลายนั้น มีมากกว่าหนึ่ง ซึ่งเราแบ่งได้2ปัจจัยใหญ่ๆคือ ปัจจัยภายใน ซึ่งเป็นปัจจัยที่แสดงถึงความต้องการของตัวเด็กนักเรียน ว่าเด็กต้องการเดินไปในทิศทางใด แต่ จะมีปัจจัยภายนอก ที่มาช่วยเสริม หรือ กำหนดทิศทางให้ โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้ 1.สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง เพราะค่านิยมในปัจจุบันมีสูง หากเด็กคนใดได้เรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียงจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า เด็กเหล่านั้นมีศักยภาพสูง 2.มิตรสหาย ซึ่งอาจจะเป็นความคิดที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง โดยเป็นการคิดตามเพื่อนฝูงซึ่งอาจจะนำไปสู่การหลงทางก็เป็นได้   3.เหล่าบรรดาผู้ปกครอง ที่สร้างแรงกดดัน หรือ กำหนดทิศทางให้ลูกเป็นไปในสิ่งที่ผู้ปกครองอยากให้เป็น 4.ครูบาอาจารย์ การสอนที่ไม่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้เด็กเกิดมีอคติกับวิชา และ หลักสูตรการศึกษาต่างๆ  5.อาชีพ เป็นตัวเลือกในอนาคตที่อยากจะเป็นและประกอบอาชีพนั้นๆ ซึ่งเป็นตัวชี้นำในการเลือกเรียนสาขาวิชาต่างๆ   
สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความคิดด้านทางเลือกของตัวเด็ก แต่จะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบวงกว้างทางการศึกษา ซึ่งมีอยู่ 5 ปัจจัยคือ 1. ปัจจัยด้านเทคโนโลยี การส่งเสริมทางด้านเทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากสังคมในปัจจุบันและในอนาคต มีแนวโน้มที่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ซึ่งการใช้เทคโนโลยีในการศึกษานั้น ก่อให้เกิดทั้งผลดี และผลเสียในกรณีนำมาใช้งานไม่ตรงตามความต้องการ  และการใช้เทคโนโลยีในกิจวัตรประจำวันหรือใช้ในการเรียนการสอนทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับลูกศิษย์ลดลง ส่งผลให้เกิดช่องว่างทางอารมณ์ ซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวที่นับวันจะทวีรุนแรงมากขึ้น จึงควรกำหนดรูปแบบในการสอนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อช่องว่างระหว่างครูกับลูกศิษย์ หรือถ้าหากบุคลากรที่ให้ความรู้ ไม่มีความสามารถมากพอที่จะมอบประสบการณ์ด้านต่างๆให้กับเด็ก ก็เท่ากับว่าเป็นการลงทุนทางการศึกษาเสียเปล่า และเด็กอาจจะไม่ได้นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันก็เป็นได้
 2. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมีผลต่อตลาดแรงงานและตลาดการศึกษา เนื่องจากการกำหนดลักษณะของแรงงานที่ต้องการ เมื่อมีการกำหนดลักษณะแรงงานที่ต้องการ ทำให้เกิดการแข่งขันทางการศึกษาเกิดขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานล่าสุดเดือน กรกฎาคม  2554 มีทั้งสิ้น 206,000  คน จากข้อมูลผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เช่นเดียวกับเดือน กุมภาพันธ์แม้ว่าจะมีจำนวนลดลงก็ตาม โดยมีจำนวนถึง 100,000 คน รองลงมามัธยมศึกษาตอนปลาย 47,000 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 38,000 คน และระดับประถมศึกษา 13,000 คน
จากสถิติสามารถชี้ให้เห็นว่า ในอนาคตการแข่งขันทางการศึกษา จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะพัฒนาประเทศ เพราะการที่จะพัฒนาประเทศได้นั้น ต้องพึ่งพา บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ มีความสามารถในหลายๆด้านเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านการศึกษาของเยาวชนไทย จนลืมมองในด้านการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็ก
3. ปัจจัยด้านระบบราชการ ที่มีความล่าช้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับยุคโลกาภิวัฒน์ ที่มีเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้ชีวิตประจำวัน และการทำงานที่ยึดกฎระเบียบตายตัว ขาดความยืดหยุ่น ที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานของผู้บริหารการศึกษารวมถึงครูบางส่วนที่ไม่ยอมปรับตัวให้เข้ากับการทำงาน ซึ่งสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้กับเด็ก และใกล้ชิดมากที่สุดในการศึกษา คือ ครู
4. ปัจจัยด้านการเมือง กล่าวกันว่าการปฏิรูปหรือพัฒนาการจัดการศึกษาจะสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นขึ้นอยู่กับการเมืองมากกว่าแนวทางและวิธีการ แต่หากการเมืองไทยมีเงื่อนไขบางประการที่เป็นอุปสรรคก็จะส่งผลให้การปฏิรูปการศึกษาไทยไม่ก้าวหน้าหรือประสบความสำเร็จเท่าที่ควร การปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) บ่อยครั้ง อาจทำให้การดำเนินนโยบายการพัฒนาการศึกษาไม่ต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลงนโยบายทั้งหลายอาจทำให้เด็กสับสนในแนวทางการศึกษา เช่น การเปลี่ยนระบบในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยบ่อยครั้ง ทำให้การเตรียมตัวของเด็กเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจากที่เตรียมตัวไว้แล้ว
5. ปัจจัยด้านวัฒนธรรม สังคมไทยมีเงื่อนไขทางวัฒนธรรมหลายประการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาไทย ดังนี้
-ขาดวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม สังคมไทยในปัจจุบันขาดความเหนียวแน่น ความร่วมแรงร่วมใจ คนในสังคมจึงมองการศึกษาว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลไม่เกี่ยวกับตนเอง
-รักความสนุกและความสบาย คนไทยส่วนใหญ่มักสนใจความบันเทิงมากกว่าการแสวงหาความรู้จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
-สังคมอุปถัมภ์ สังคมไทยยังคงมีลักษณะสังคมอุปถัมภ์ เห็นแก่พวกพ้องของตนมากกว่าส่วนร่วม ผู้ที่มีอำนาจสูงมักแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้องโดยที่ประชาชนไม่กล้าขัดขวางหรือไม่สามารถเรียกร้องได้ เพราะต้องพึ่งพาอาศัย ดังนั้น เมื่อมีการกระจายอำนาจทางการศึกษาอาจกลายเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ให้กับผู้มีอิทธิพลได้หากไม่มีการตรวจสอบให้แน่ชัด
-ขาดการเปิดกว้างทางความคิดและการรับฟังความเห็นของผู้อื่น สังคมไทยมีค่านิยมเดิมว่า การมีความคิดที่แตกต่างหรือการเป็นแกะดำ ถือเป็นสิ่งไม่ดีมองผู้ที่คิดแตกต่างเป็นศัตรู และพยายามหักล้างความคิดที่แตกต่างนั้นซึ่งมักกระทำโดยใช้อารมณ์มิได้ใช้เหตุผลเป็นที่ตั้งซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผู้เรียนที่ปัจจุบันมุ่งสร้างคนให้คิดเป็นทำเป็น

             จากการวิเคราะห์ปัจจัยทั้งหลาย เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าการศึกษาไทยต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้านเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นอยู่ทั้งในด้าน วิชาการ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และ สังคม  แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ควรจะพัฒนาควบคู่กับสิ่งเหล่านี้ คือ คุณธรรม จริยธรรมให้แก่ตัวเด็ก เพื่อประเทศชาติจะได้พัฒนาควบคู่กันไป การมีบุคลากรที่มีคุณภาพแต่ไร้ซึ่งคุณธรรม ก็ไม่ต่างอะไรกับ การมีเงินอยู่ในมือแต่ใช้ไม่เป็น หากปล่อยให้ระยะเวลาเลยผ่านไปเงินก็อาจะหมดลง เปรียบเสมือนการมีบุคลากรที่มีความสามารถแต่ไม่มีคุณธรรม จริยธรรมประเทศก็จะคุกคาม ด้วยความโลภ ความเห็นแก่ตัวความเห็นแก่ได้นั่นเอง
            ฉะนั้นเนวิเกเตอร์ หรือผู้นำทางของเราไม่ว่าจะเป็น ครูบาอาจารย์ ผู้ปกครอง รวมไปถึงผู้ที่มีหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการศึกษาควรจะเป็นผู้ชี้ทางที่ดี ใช้เหตุและผล มากกว่าการปูทางให้เดินเพียงอย่างเดียว โดยไม่แนะนำให้เด็กได้รู้ ทางเดินที่ดีเป็นอย่างไร ทางเดินที่แย่เป็นอย่างไร เด็กก็เปรียบเสมือนกับผ้าขาว ถ้าหากต้องการให้การศึกษามีการพัฒนาไปในทางที่ดี ก็ควรเริ่มจากการเติมสิ่งที่ดี  เหมาะสมกับเด็กในยุคปัจจุบัน เพื่อให้ผ้าขาวนั้นซึมซับสิ่งที่เรามอบให้ และนำไปพัฒนาสู่อนาคต






วัดบางนานอก

วันนี้เราจะพาไปเที่ยววัดบางนานอกน่ะครับ วัดบางนานอกนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ใกล้สี่แยกบางนา

พอถึงสี่แยกไฟแดงแล้ว เลี้ยวไปทางสรรพาวุธ แล้วก็ตรงจนสุดถนน จะเจอแม่น้ำเจ้าพระยา นี่หล่ะครับ

วัดบางนานอก ที่ผมจะพามาชมกัน

ก่อนอื่นเรามารู้จักประวัติวัดกันก่อนดีกว่า
วัดบางนานอกเป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ไม่ปรากฏนามผู้สร้างที่ชัดเจน โดยประมาณกันว่าน่าจะ
ก่อสร้างในราว พ.ศ. 2400 โดยในสมัยก่อนชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า วัดปากคลองบางนา แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อใหม่ไปตามสภาพภูมิประเทศและสถานที่ตั้งที่มีอีกวัดหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ตอนด้านนอกนิยมเรียกว่า วัดบางนานอก ส่วนวัดปากคลองบางนาอยู่ในที่ลุ่มด้านในจึงเรียกกันจนติดปากว่า วัดบางนาใน มาจนถึงปัจจุบันปูชนียวัตถุและโบราณวัตถุที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจให้กับนักท่อง เที่ยวและประชาชนทั่วไปคือ พระประธานอุโบสถหลังเก่าหน้าตักกว้าง 1.5 เมตร สูง 1.13 เมตร อายุประมาณร้อยปีเศษซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนในย่านใกล้เคียง พระพุทธรูปยืนทรงเครื่อง ปางรัตนโกสินทร์ยุคต้น ขนาดเท่าคนจริง หงส์สัมฤทธิ์และธรรมาสน์-บุษบก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งศึกษาพระปริยัติธรรมที่เปิดสอนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2475
























วันนี้พอมาถึงวัดบางนานอก อย่างแรกเลยผมก็มาสักการะบูชาพระพุทธรูปกันก่อน พร้อมทั้งมีการปิด
ทองพระพุทธรูป ให้อาหารปลา บริจาคเงินเพื่อปรับปรุงวัด








แต่ที่ผมประทับใจมากคือ เครื่องให้อาหารปลาแบบหยอดเหรียญ เป็นวิวัฒนาการที่ดีมาก จากสมัยก่อนแพ๊คเป็นถุงๆ สมัยนี้ หยอดเหรียญ 10 บาท แล้วนำกระป๋องไปรอง อาหารปลาแบบเม็ดก็จะไหลลงมาในกระป๋องที่เรารอง ถือว่าอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้คนที่มาให้อาหารปลาอย่างมาก











หลังจากทำบุญ ให้อาหารปลาเสร็จแล้ว เราก็มาให้อาหารโค กระบือ กัน











หลังจากทำบุญกันจนอิ่มแล้วเราก็ล้างมือ ล้างหน้า เตรียมตัวออกเดินทางไปทานอาหารกลางวันต่อ ซึ่งในย่านนี้มีห้างสรรพสินค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ซีคอนสแควร์ พาราไดซ์ เซนทรัลบางนา หรือถ้าอยากกินบรรยากาศตลาดน้ำ คุณก็สามารถข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา ไปตลาดน้ำบางน้ำผึ้งได้ แต่ต้องไปเช้าๆหน่อยน่ะครับ เพราะว่า ตลาดเค้าปิดไว ขายดีเกิน 

แล้วเจอกันใหม่น่ะครับผม ^^

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปัญหาชุมชนพรทวี

ปัญหาชุมชนพรทวี ปุณณวิถี 47 สุขุมวิท 101
ในขณะนี้ชุมชนพรทวีได้รับความเดือดร้อนเรื่องไม่มีไฟส่องทางภายในซอยยามค่ำคืน และ ที่กั้นซอยระหว่างหมู่บ้าน  สาเหตุมาจากอะไร ติดตามคลิปได้เลยครับผม