วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันนี้ขอแนะนำร้านอาหารเมนูเด็ด จานโปรดของผมน่ะครับ

เริ่มต้นจากอาหารไทยที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ ส้มตำ ของร้าน ส้มตำเจ้าแรก ที่ห้างสรรพสินค้าพาราไดซ์ปาร์ค

ถนนศรีนครินทร์ ซึ่งมีราคาย่อมเยาว์ และปลอดผงชูรสเสียด้วย บอกได้คำเดียวเลยครับว่า

รสชาติเยี่ยมยอด

มาดูรูปกันเลยดีกว่าครับ

ส้มตำไทย รสชาติกลมกล่อม สุดยอด!
ต่อด้วยลาบหมู ที่รสชาติเปรี้ยวนำ อร่อยจนเกินคำบรรยาย

ซึ่งส้มตำ ลาบหมู กินแกล้มกับข้าวเหนียว พร้อม ไก่ทอด บวกน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ด มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆเลย ครับ
 หลังจากอิ่มอร่อยกับส้มตำรสชาติสุดยอดเกินคำบรรยายแล้ว เราก็เดินเล่นในห้างซักพัก พอหนังท้องอิ่ม หนังตาก็เริ่มหย่อนจึงต้องพักทานเครื่องดื่มซักหน่อย

เราเลยแวะมาที่ร้าน ภูฟ้า ซึ่งเป็นร้านในโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระเทพฯ 






รสชาติสุดยอด กับ บรรยากาศที่น่านั่ง เล่นเอาผมเกือบหลับคาคอมขณะนั่งทำงานกันเลยทีเดียว สรุปแล้ววันนี้ งานที่ทำไม่เสร็จครับ เพราะบรรยากาศในห้างสรรพสินค้านี่หล่ะ TT เศร้ากันเลยทีเดียว

ท่านผู้อ่านคนใดสนใจแวะมาได้น่ะครับ ที่ห้างพาราไดซ์พาร์ค ถนนศรีนครินทร์ ร้านภูฟ้าอยู่บริเวณ ชั้น 2 ฝั่งโฮมโปร  ส่วนร้านส้มตำอยู่ชั้นล่าง โซนตลาดเสรีมาร์เก็ต 

รู้สึก จึงเขียน 'มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา'

ก้าวแรกนั้นที่รู้ว่าตนเองแอดมิชชั่นติดราชภัฏสวนสุนันทา ผมได้บอกได้ตามตรงเลยว่า รู้สึกเฉยชากับการที่ได้เข้ามาเรียนที่นี่ พร้อมที่บ้านแนะนำให้ไปศึกษาต่อที่อื่นดีกว่าหรือเปล่า ซึ่งผมได้แสดงจุดยืนของผมไปว่า "มหาลัยไหนมันก็เหมือนกันแหละหน่ะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา" ซึ่งหลังจากมอบตัวเข้ามาเป็นนักศึกษาอย่างเต็มตัวแล้ว ผมได้เห็นอะไรมากมายในสวนสุนันทา กว่า 3 ปีที่ได้เรียนอยู่ที่นี้

อย่างที่ทุกคนรู้กัน ทุกๆอย่างที่เป็นธรรมชาติย่อมไม่มีดีเสมอไป 'สวนสุนันทา' เองก็เช่นกัน ผมเห็นข้อดีเยอะ และผมก็เห็นข้อเสียเยอะ

แต่ผมขอพูดถึงในข้อเสียก่อนล่ะกัน  เผื่อผู้บริหารและอาจารย์เข้ามาอ่านจะได้นำไปปรับปรุง

สวนสุนันทานั้นหากมองจากภายนอก เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยงามร่มรื่น แต่หากคุณเข้ามาเหยียบอย่างเต็มตัวแล้ว จะตอบได้เลยว่า "สวยแต่รูป จูบไม่หอม" เพียงแค่ผมเห็นอาคารเรียนของผมที่ต้องเรียนด้วยกันมาตลอด 3 ปีนี้ ผมถึงกับเข่าทรุดไปตามอาคาร  เพราะอาคารของผมนั้นทรุดโทรมจนเกินคำบรรยาย อีกทั้งพอมารู้ว่า พรึ่งปรับปรุงมาได้ไม่นาน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า มหาวิทยาลัยนั้นเมินเฉยต่อสิ่งที่ควรทำหรือเปล่า

และด้วยเลือดของนักวารสาร ต้องรู้จักมองหลายด้าน หลังจากการได้เรียนรู้ ศึกษา และทำข่าวภายในมหาวิทยาลัย ยิ่งทำให้ผมมีความรู้สึกต่อทีมผู้บริหาร และ คณาจารย์บางท่านเป็นอย่างมาก ในเรื่องของกระบวนการความคิด ว่า "เงินคือพระเจ้า" สมัยนี้ "การเรียนคือการลงทุน" การลงทุนจำเป็นหรือที่ต้องใช้เงิน การลงทุนอาจจะเป็นการลงแรง หรือ ลงความสามารถลงไปก็ได้มิใช่หรือ ผมไม่ขอพาดพิงถึงอาจารย์คนไหน แต่ถ้า เพื่อนๆเข้ามาอ่าน เพื่อนๆที่เป็นเลือดสุนันทา จะตอบโจทย์นี้ได้อย่างชัดเจน

ในด้านทีมผู้บริหาร ซึ่งในขณะนี้ถือว่าเป็นข้อกังขามาก กับการบริหารงาน ผมได้สัมภาษณ์ ท่านรองฯ ฝ่ายต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย บุคลากรทั้งหลายเหล่านี้ เค้ามีหน้าที่อะไร? ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมสงสัยมาตลอด หลังจากได้ทำข่าว ผมจึงทราบเลยว่า มีหน้าที่ตอบปัดคำถามของนักศึกษา ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ เพียงแต่พูดว่าพวกเรายังเด็ก ยังไม่เข้าใจที่ผู้ใหญ่เค้าทำกันหรอก แล้วถ้าผู้ใหญ่ไม่พูดให้เด็กฟัง เมื่อไหร่เด็กมันจะเข้าใจหล่ะครับ และผมก็สงสัยอีกว่า ผู้บริหารมีหน้าที่ชี้แจงให้ประชาคมรับทราบถึงสิ่งที่ทำอยู่มิใช่หรือ ไม่ใช่ว่ามหาวิทยาลัยจ้างมาให้ ปิดบังความลับ จริงหรือไม่

ทั้งนี้แล้วผมไม่ได้ที่จะจ้องทำลายมหาวิทยาลัยน่ะครับ แต่ผมอยากให้ผู้บริหาร หรืออาจารย์มุ่งไปที่การพัฒนา และพร้อมที่จะปั้นนักศึกษาให้มีคุณภาพ มากกว่า การที่จะมุ่งหาผลประโยชน์เข้าตัว

เพื่อมหาวิทยาลัยของเรา อาจารย์มีคุณภาพ นักศึกษามีคุณภาพ สุดท้าย ใครๆก็อยากมาเรียน ชิมิชิมิ

มาถึงด้านดี นี่ไม่ใช่การตบหัวแล้วลูบหลังน่ะครับ ข้อดีของม.เรานั้นเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม มีธรรมชาติร่มรื่น มีกลิ่นอายวัฒนธรรม มีความเป็นชาววัง

ถ้าหากผมพูดอะไรผิดก็ขอโทษด้วยน่ะครับ นี่เป็นแค่การแสดงความคิดเห็นในมุมมองส่วนตัว

ชีวิตสองด้าน ‘นักศึกษาภาควิชา นักดนตรีกลางคืน’



นักดนตรีกลางคืนคงไม่ใช่อาชีพที่ใครหลายๆคนใฝ่ฝันกันมากเท่าไหร่ เพราะว่าสังคมในปัจจุบันนั้นดูหมิ่นเหยียดหยาม ความเป็นศิลปินหลักลอยที่ล่องลอยไปบนถนนหนทางยามค่ำคืน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ความจริงถึงความลำบากแสนเข็ญกว่าจะได้เงินเพื่อมาประทังชีวิต และต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอดกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน
                นักศึกษา ถือว่าเป็นกลุ่มหนึ่งที่ประกอบอาชีพนักดนตรีกลางคืนสูงที่สุดก็ว่าได้ ความใฝ่ฝันของเด็กคนหลายๆคนที่อยากจะหาเลี้ยงตนเองให้ได้ ด้วยการพึ่งพาความสามารถของตนเอง โลดแล่นเพื่อหาทุนทรัพย์ผ่านเสียงดนตรี จุดเริ่มต้นของอาชีพนักดนตรีนั้น ยากลำบากกว่าที่วาดฝันไว้ หากใช่เพียงแต่คุณมีความสามารถแล้วคุณจะมีร้านเล่นได้ ในยุคปัจจุบัน ความสามารถอย่างเดียว ผมว่าคงไม่พอ หากแต่ว่าคุณนั้นต้องมีหน้าตา ผิวพรรณที่ดี หน้าตา สวย หล่อ ให้ผู้คนกรี๊ดกร๊าด ยามคุณขึ้นยืนสง่าอยู่บนเวที และสิ่งที่คุณต้องมี คือต้นทุนในการเล่นดนตรี
                หลายๆคนคงสงสัยว่าเล่นดนตรีนั้นต้องมีต้นทุนด้วยหรอ? ผมคงตอบได้อย่างชัดเจนเลยครับว่ามี และคงไม่ใช่มีต้นทุนธรรมดา แต่คุณนั้นต้องมีต้นทุนอย่างมากกับการลงทุนในครั้งนี้ ซึ่งเราจะแบ่งต้นทุนนั้นออกเป็น 2 แบบ คือ ๑) ต้นทุนทางความสามารถ ซึ่งหาไม่ได้จากร้านค้าหรือตามตลาดแผงลอยทั่วไป แต่ต้องหาจากความขยันภายในตัวของเราเอง ต้องหมั่นซ้อม และมีความกล้าแสดงออก ๒) นั่นก็คือ ต้นทุนที่เป็นเม็ดเงิน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เครื่องดนตรีทั้งหลายคงต้องนำเม็ดเงินที่มีอยู่ไปแลกมาเพื่อให้ได้อุปกรณ์ในการไปประกอบอาชีพ และไหนจะอีกทั้งค่าห้องซ้อมต่างๆนานา ที่จะตามมาในภายภาคหน้า และอุปกรณ์ทั้งหลายเหล่านี้ราคานั้นเรียกได้ว่ามหาศาลอยู่พอตัวเลยทีเดียว
                ความยากลำบากนั้นยังไม่จบเพียงแค่ หน้าตา ความสามารถ และต้นทุน แต่คงเลี่ยงไม่ได้กับภาระหน้าที่หลักนั่นคือ การศึกษา หากคุณไม่สามารถทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปจากชีวิตของคุณได้ คุณคงต้องเลือกทำทั้งสองอย่างในเวลาที่เหลื่อมล้ำกัน ชีวิตของผมนั้นผ่านตรงจุดนี้มาแล้ว ทำให้ผมสามารถมองโลกได้กว้างขึ้นจากจุดที่ตนเองเคยผ่านมา ชีวิตการเป็นนักศึกษา กึ่ง นักดนตรีนั้นยากลำบากกว่าที่คิด หากคุณต้องตื่นเช้าเพื่อมาเข้าเรียนให้ทันวิชาแรก และคุณต้องรีบออกจากมหาวิทยาลัยในตอนเย็นเพื่อสลัดคราบความเป็นนักศึกษาออกเพื่อมุ่งหน้าให้ความบันเทิงแก่ผู้คนยามราตรี ใช่แล้วครับ เวลาพักผ่อนตามหลักสากลนั้นคุณแทบจะลืมไปเลยว่า ในช่วงวัยนี้ ต้องพักผ่อนกี่ชม.ต่อหนึ่งวัน แล้วไหนจะต้องต่อสู้กับการแย่งชิงเกรดมาจากอาจารย์ผู้สอน เพื่อไม่ให้ตนเองถูกรีไทล์ก่อนกำหนดอีกด้วย
แต่ความเหนื่อยนั้น เมื่อคุณเห็นเม็ดเงินที่ตามมา ผมถือว่าคุ้มค่า ในอาทิตย์หนึ่งนักดนตรีกลางคืนสามารถหาเงินได้ถึง ๓,๕๐๐ บาทในขั้นต่ำ(เล่นทุกวัน) แต่หากคุณมีหน้ามีตา มีแขกติดทำให้สถานบันเทิงมียอดขายเครื่องดื่มพุ่งกระฉูด คุณคงไม่อยากนึกเลยสิท่า ว่ารายได้มันจะพุ่งกระฉูดขนาดไหน ผมบอกได้เลยว่า ๕,๐๐๐-๘,๐๐๐ บาทขึ้นไปต่อหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งถ้าตีออกมาเป็นเงินเดือน คงสูงกว่าแรงงานปริญญาตรีในปัจจุบันแน่นอน แต่ในทางกลับกันเปอร์เซ็นต์การแย่งงานนั้นสูงมากพอสมควร เพราะเป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้ใบปริญญาในการทำมาหากิน
แต่ชีวิตของคนเรามันคงไม่เป็นดั่งฝันเสมอไป ดั่งพระพุทธศาสนาสอนให้เรารู้ว่า มีสุข ต้องมีทุกข์ เป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อเรามีความสุขกับเงินเดือนที่สูงริบแล้ว แต่หากเราหลงระเริงกับแสงสีเสียง และสิ่งของอบายมุข ไม่ว่าจะเป็น บุหรี่ สุรา รวมไปถึง นารี เงินที่คุณหามาได้ทั้งหมดนั้นจะหายไปในชั่วพริบตาเดียว และสิ่งที่ตามมานอกจากทรัพย์ที่ได้มาแล้ว คงเป็นความทุกข์จากโรคประจำตัว หรือความทุกข์จากหนี้สินก็ว่าได้หากยังใช้ชีวิตแบบนี้ทุกๆวัน ร่างกายคนเราก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักร ที่ต้องการน้ำมันหล่อลื่น หรือการซ่อมบำรุง เพียงแต่ร่างกายเรานั้น ต้องการการพักผ่อน ลองจินตนาการภาพตามผมน่ะครับ หากเครื่องจักรทำงานวันล่ะ ๒๐ ชั่วโมง ซักวันหนึ่งมันคงต้องพังลง และแน่นอนโรงงานคงต้องหาเครื่องใหม่มาแทนของเก่าที่เสียไป เช่นเดียวกับนักดนตรีกลางคืนหล่ะครับ คุณไม่สามารถยืนหยัดใช้ชีวิตเช่นนี้ได้ตลอด หากวันไหนคุณล้มเจ็บ ทางร้านก็คงต้องหาคนใหม่มาแทนที่คุณและในบางครั้งโอกาสที่คุณอาจจะตกงานนั้นก็มีสูงตามไปด้วย และไหนจะเป็นเรื่องทางด้านความชราภาพตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งการตลาดของสถานบันเทิง เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า คนแก่จะทำให้เด็กกรี๊ดได้ยังไง หากคุณไม่ใช่ เคน ธีรเดช หรือ โดม ปกรณ์ ลัม นั่นหล่ะเป็นเหตุผลที่ทำให้อาชีพนักดนตรีกลางคืนไม่ยั่งยืน เพราะหากแก่ตัวไป เราคงเปรียบเสมือนน้ำอัดลมกระป๋อง เมื่อหมดความซ่า ผู้คนก็โยนลงถังขยะ
เพราะฉะนั้นแล้ว อาชีพนักดนตรีกลางคืนถือว่าเป็นอาชีพทางเลือกอีกทางเลือกหนึ่งของนักศึกษาในปัจจุบัน เพียงเพราะใจรักในดนตรี และ เป็นหนทางในการหารายได้พิเศษเพื่อมาจุนเจือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่พวกเราควรมุ่งเป้าหมายให้ประสบความสำเร็จในชีวิต นั่นก็คือการศึกษา หากคุณมีการศึกษาที่ดีแล้ว ความสามารถที่ตามมาอาจช่วยเป็นตัวบุกเบิกให้ชีวิตของคุณประสบความสำเร็จได้เช่นกัน



  
               
                

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์เจ้าฟ้า

หอศิลป์เจ้าฟ้าเป็นศูนย์กลางการเก็บรักษาและการจัดแสดงผลงานทั้งศิลปะแบบไทยประเพณีและศิลปะร่วมสมัย ของศิลปินที่มีชื่อเสียงของประเทศ ทั้งประเภทจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์และสื่อผสม ฯลฯ


เนื่องในงานวันเด็กแห่งชาติ ทีมงานจากนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ สาขานิเทศศาสตร์
เอกวารสารศาสตร์
ได้จัดงานสร้างความบันเทิงให้กับน้องๆ ที่มาเยี่ยมชมงานวันเด็ก ภายใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์เจ้าฟ้า ซึ่งตั้งอยู่เขตพระนคร ใกล้กับสะพานพระปิ่นเกล้า 






ในวันนั้นมีน้องๆมาร่วมสนุกกันมากมายตั้งแต่เช้า โดยมีกิจกรรมต่างๆมากมาย อาธิเช่น
การสอนเด็กมัดลูกโป่งให้เป็นรูปร่าง สอนการพิมพ์ภาพด้วยแม่พิมพ์ และเกมส์ต่างๆ 








หลังจากเสร็จกิจกรรมนันทนาการแล้ว พวกพี่ๆนั้นก็เริ่มทำการแสดงที่ได้จัดเตรียมมา เพื่อสร้างความสนุกสนานให้น้องๆได้ชมกัน
หลังจากการแสดงทั้งหมดเสร็จสิ้น ก็เป็นอันว่า งานทั้งหลายจบลงด้วยดี พร้อมทั้งได้สร้่างความสนุกสนานให้เด็กๆเป็นอย่างมากอีกด้วย


วันนี้พวกเราเหนื่อยกันทุกคน แต่เห็นรอยยิ้มจากน้องๆ แล้ว หายเหนื่อยทันทีเลยจ้า ^^
ทีมงานสร้างความบันเทิงให้กับน้อง จากวารสาร มรภ.สวนสุนันทา



ปล. วลาทำการ ทุกวัน เวลา 9.00 – 16.00 น.
ค่าเข้าชม คนไทย 30 บาท  คนต่างชาติ 20 บาท 
นักเรียน นักศึกษาในเครื่องแบบ พระภิกษุ สามเณรและนักบวชในศาสนาอื่น ไม่เสียค่าเข้าชม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.hardcoregraphic.com/webboard/index.php?topic=922.0 

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อนาคตเส้นทางการศึกษาของเยาวชน ทางเลือกที่ต้องการผู้ชี้นำ

การศึกษาของไทยในปัจจุบัน ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเยาวชนไทย ซึ่งหากเปรียบเทียบการศึกษาแล้ว การศึกษาคงเปรียบเสมือนถนนหนทางที่นำเราไปสู่จุดมุ่งหมายในวันข้างหน้า หากแต่ถนนหนทางนั้นไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียวที่จะพาเราไปสู่จุดมุ่งหมาย เฉกเช่นเดียวกับการศึกษาที่มีเส้นทางหลายสายให้เราได้เลือกและแต่ละเส้นทางจะมีอุปสรรคต่าง ๆ นานา ถ้าหากเราเลือกผิดเส้นทาง เราอาจจะหลงทางและไปสู่จุดมุ่งหมายที่วางไว้อย่างล่าช้า หรือหากไปถึงก็อาจจะไม่มีที่ว่างให้สำหรับเราก็เป็นได้
            ในปัจจุบันประเทศของเรามีทางเลือกทางการศึกษาให้เลือกหลายทาง ไม่ว่าจะเป็น การศึกษาในระบบ ซึ่งแบ่งออกเป็น การศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ระดับประถมจนถึงระดับมัธยมปลาย และการศึกษาในขั้นอุดมศึกษา คือ ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก โดยการศึกษาในระบบนั้นจะเป็นการศึกษาที่มีรูปแบบและระบบแบบแผนชัดเจน มีการกำหนดวัตถุประสงค์ หลักสูตรวิธีการจัดการเรียนการสอน การวัดผล และการประเมินผลที่แน่นอน อีกทางก็คือ การศึกษานอกระบบ เป็นหลักสูตรที่มีความยืดหยุ่น ไม่มีข้อจำกัดด้านอายุ มีการกำหนดจุดมุ่งหมาย หลักสูตร วิธีการเรียนการสอน สื่อ การวัดผลและประเมินผลที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ คือ สายสามัญ สายอาชีพ และ สายความรู้ทั่วไป และทางเลือกสุดท้าย เป็นการศึกษาตามอัธยาศัย คือการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อมหรือแหล่งความรู้อื่น ๆ
            ส่วนใหญ่แล้วระบบที่ได้รับการตอบรับในประเทศของเรามากที่สุด คือ การศึกษาในระบบ เพราะมีรูปแบบ หลักสูตร การวัดผลที่แน่นอนกว่าระบบอื่น ๆ การเรียนการสอนทั่วไปของหลักสูตรการศึกษาในระบบ คือจะเน้น 8 กลุ่มสาระวิชาเป็นหลัก ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ศิลปะ สุขศึกษาและพลศึกษา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่เด็กทุกคนต้องเรียนรู้ แต่การเรียนรู้ก็ต้องมีทางแยก เพื่อให้เราเลือกว่าจะไปทางไหนจึงจะถึงจุดมุ่งหมายที่เราได้วางไว้ หรือ เป็นการตีกรอบความต้องการของตัวเองให้แคบลงนั่นเอง ซึ่งโดยปกติแล้วระบบการศึกษาของประเทศเรานั้นหลังจากจบมัธยมต้นแล้วเด็กทุกคนจะต้องเลือกทางของตนเองว่า จะเรียนต่อสายสามัญ คือ ต้องเลือกสายวิชา ด้านวิทย์-คณิต ,อังกฤษ-คณิต หรือ ศิลป์ภาษา หรือ สายอาชีพก็จำเป็นต้องเลือกสาขาวิชาที่เราต้องการจะเรียน
           
หลังจากเลือกสายวิชาได้แล้ว ระบบการศึกษาจะกำหนดทิศทางให้เรา ในการให้ความสำคัญกับเนื้อหาของกลุ่มวิชาที่เราเลือกไว้ เพื่อกำหนดทิศทางในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง ซึ่งถึงจุดนี้ จะมีปัจจัยหลายๆอย่างที่จะเป็นกำหนดทิศทาง ซึ่งเปรียบเสมือน เนวิเกเตอร์ บนรถยนต์ ที่เป็นตัวบอกทิศทางให้เราสามารถเดินไปในทิศทางใดเพื่อให้ไปสู่จุดมุ่งหมาย แต่ทว่า ปัจจัยทั้งหลายนั้น มีมากกว่าหนึ่ง ซึ่งเราแบ่งได้2ปัจจัยใหญ่ๆคือ ปัจจัยภายใน ซึ่งเป็นปัจจัยที่แสดงถึงความต้องการของตัวเด็กนักเรียน ว่าเด็กต้องการเดินไปในทิศทางใด แต่ จะมีปัจจัยภายนอก ที่มาช่วยเสริม หรือ กำหนดทิศทางให้ โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้ 1.สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง เพราะค่านิยมในปัจจุบันมีสูง หากเด็กคนใดได้เรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียงจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า เด็กเหล่านั้นมีศักยภาพสูง 2.มิตรสหาย ซึ่งอาจจะเป็นความคิดที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง โดยเป็นการคิดตามเพื่อนฝูงซึ่งอาจจะนำไปสู่การหลงทางก็เป็นได้   3.เหล่าบรรดาผู้ปกครอง ที่สร้างแรงกดดัน หรือ กำหนดทิศทางให้ลูกเป็นไปในสิ่งที่ผู้ปกครองอยากให้เป็น 4.ครูบาอาจารย์ การสอนที่ไม่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้เด็กเกิดมีอคติกับวิชา และ หลักสูตรการศึกษาต่างๆ  5.อาชีพ เป็นตัวเลือกในอนาคตที่อยากจะเป็นและประกอบอาชีพนั้นๆ ซึ่งเป็นตัวชี้นำในการเลือกเรียนสาขาวิชาต่างๆ   
สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความคิดด้านทางเลือกของตัวเด็ก แต่จะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบวงกว้างทางการศึกษา ซึ่งมีอยู่ 5 ปัจจัยคือ 1. ปัจจัยด้านเทคโนโลยี การส่งเสริมทางด้านเทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากสังคมในปัจจุบันและในอนาคต มีแนวโน้มที่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ซึ่งการใช้เทคโนโลยีในการศึกษานั้น ก่อให้เกิดทั้งผลดี และผลเสียในกรณีนำมาใช้งานไม่ตรงตามความต้องการ  และการใช้เทคโนโลยีในกิจวัตรประจำวันหรือใช้ในการเรียนการสอนทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับลูกศิษย์ลดลง ส่งผลให้เกิดช่องว่างทางอารมณ์ ซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวที่นับวันจะทวีรุนแรงมากขึ้น จึงควรกำหนดรูปแบบในการสอนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อช่องว่างระหว่างครูกับลูกศิษย์ หรือถ้าหากบุคลากรที่ให้ความรู้ ไม่มีความสามารถมากพอที่จะมอบประสบการณ์ด้านต่างๆให้กับเด็ก ก็เท่ากับว่าเป็นการลงทุนทางการศึกษาเสียเปล่า และเด็กอาจจะไม่ได้นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันก็เป็นได้
 2. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมีผลต่อตลาดแรงงานและตลาดการศึกษา เนื่องจากการกำหนดลักษณะของแรงงานที่ต้องการ เมื่อมีการกำหนดลักษณะแรงงานที่ต้องการ ทำให้เกิดการแข่งขันทางการศึกษาเกิดขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานล่าสุดเดือน กรกฎาคม  2554 มีทั้งสิ้น 206,000  คน จากข้อมูลผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เช่นเดียวกับเดือน กุมภาพันธ์แม้ว่าจะมีจำนวนลดลงก็ตาม โดยมีจำนวนถึง 100,000 คน รองลงมามัธยมศึกษาตอนปลาย 47,000 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 38,000 คน และระดับประถมศึกษา 13,000 คน
จากสถิติสามารถชี้ให้เห็นว่า ในอนาคตการแข่งขันทางการศึกษา จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะพัฒนาประเทศ เพราะการที่จะพัฒนาประเทศได้นั้น ต้องพึ่งพา บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ มีความสามารถในหลายๆด้านเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านการศึกษาของเยาวชนไทย จนลืมมองในด้านการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็ก
3. ปัจจัยด้านระบบราชการ ที่มีความล่าช้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับยุคโลกาภิวัฒน์ ที่มีเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้ชีวิตประจำวัน และการทำงานที่ยึดกฎระเบียบตายตัว ขาดความยืดหยุ่น ที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานของผู้บริหารการศึกษารวมถึงครูบางส่วนที่ไม่ยอมปรับตัวให้เข้ากับการทำงาน ซึ่งสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้กับเด็ก และใกล้ชิดมากที่สุดในการศึกษา คือ ครู
4. ปัจจัยด้านการเมือง กล่าวกันว่าการปฏิรูปหรือพัฒนาการจัดการศึกษาจะสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นขึ้นอยู่กับการเมืองมากกว่าแนวทางและวิธีการ แต่หากการเมืองไทยมีเงื่อนไขบางประการที่เป็นอุปสรรคก็จะส่งผลให้การปฏิรูปการศึกษาไทยไม่ก้าวหน้าหรือประสบความสำเร็จเท่าที่ควร การปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) บ่อยครั้ง อาจทำให้การดำเนินนโยบายการพัฒนาการศึกษาไม่ต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลงนโยบายทั้งหลายอาจทำให้เด็กสับสนในแนวทางการศึกษา เช่น การเปลี่ยนระบบในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยบ่อยครั้ง ทำให้การเตรียมตัวของเด็กเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจากที่เตรียมตัวไว้แล้ว
5. ปัจจัยด้านวัฒนธรรม สังคมไทยมีเงื่อนไขทางวัฒนธรรมหลายประการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาไทย ดังนี้
-ขาดวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม สังคมไทยในปัจจุบันขาดความเหนียวแน่น ความร่วมแรงร่วมใจ คนในสังคมจึงมองการศึกษาว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลไม่เกี่ยวกับตนเอง
-รักความสนุกและความสบาย คนไทยส่วนใหญ่มักสนใจความบันเทิงมากกว่าการแสวงหาความรู้จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
-สังคมอุปถัมภ์ สังคมไทยยังคงมีลักษณะสังคมอุปถัมภ์ เห็นแก่พวกพ้องของตนมากกว่าส่วนร่วม ผู้ที่มีอำนาจสูงมักแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้องโดยที่ประชาชนไม่กล้าขัดขวางหรือไม่สามารถเรียกร้องได้ เพราะต้องพึ่งพาอาศัย ดังนั้น เมื่อมีการกระจายอำนาจทางการศึกษาอาจกลายเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ให้กับผู้มีอิทธิพลได้หากไม่มีการตรวจสอบให้แน่ชัด
-ขาดการเปิดกว้างทางความคิดและการรับฟังความเห็นของผู้อื่น สังคมไทยมีค่านิยมเดิมว่า การมีความคิดที่แตกต่างหรือการเป็นแกะดำ ถือเป็นสิ่งไม่ดีมองผู้ที่คิดแตกต่างเป็นศัตรู และพยายามหักล้างความคิดที่แตกต่างนั้นซึ่งมักกระทำโดยใช้อารมณ์มิได้ใช้เหตุผลเป็นที่ตั้งซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผู้เรียนที่ปัจจุบันมุ่งสร้างคนให้คิดเป็นทำเป็น

             จากการวิเคราะห์ปัจจัยทั้งหลาย เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าการศึกษาไทยต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้านเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นอยู่ทั้งในด้าน วิชาการ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และ สังคม  แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ควรจะพัฒนาควบคู่กับสิ่งเหล่านี้ คือ คุณธรรม จริยธรรมให้แก่ตัวเด็ก เพื่อประเทศชาติจะได้พัฒนาควบคู่กันไป การมีบุคลากรที่มีคุณภาพแต่ไร้ซึ่งคุณธรรม ก็ไม่ต่างอะไรกับ การมีเงินอยู่ในมือแต่ใช้ไม่เป็น หากปล่อยให้ระยะเวลาเลยผ่านไปเงินก็อาจะหมดลง เปรียบเสมือนการมีบุคลากรที่มีความสามารถแต่ไม่มีคุณธรรม จริยธรรมประเทศก็จะคุกคาม ด้วยความโลภ ความเห็นแก่ตัวความเห็นแก่ได้นั่นเอง
            ฉะนั้นเนวิเกเตอร์ หรือผู้นำทางของเราไม่ว่าจะเป็น ครูบาอาจารย์ ผู้ปกครอง รวมไปถึงผู้ที่มีหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการศึกษาควรจะเป็นผู้ชี้ทางที่ดี ใช้เหตุและผล มากกว่าการปูทางให้เดินเพียงอย่างเดียว โดยไม่แนะนำให้เด็กได้รู้ ทางเดินที่ดีเป็นอย่างไร ทางเดินที่แย่เป็นอย่างไร เด็กก็เปรียบเสมือนกับผ้าขาว ถ้าหากต้องการให้การศึกษามีการพัฒนาไปในทางที่ดี ก็ควรเริ่มจากการเติมสิ่งที่ดี  เหมาะสมกับเด็กในยุคปัจจุบัน เพื่อให้ผ้าขาวนั้นซึมซับสิ่งที่เรามอบให้ และนำไปพัฒนาสู่อนาคต






วัดบางนานอก

วันนี้เราจะพาไปเที่ยววัดบางนานอกน่ะครับ วัดบางนานอกนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ใกล้สี่แยกบางนา

พอถึงสี่แยกไฟแดงแล้ว เลี้ยวไปทางสรรพาวุธ แล้วก็ตรงจนสุดถนน จะเจอแม่น้ำเจ้าพระยา นี่หล่ะครับ

วัดบางนานอก ที่ผมจะพามาชมกัน

ก่อนอื่นเรามารู้จักประวัติวัดกันก่อนดีกว่า
วัดบางนานอกเป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ไม่ปรากฏนามผู้สร้างที่ชัดเจน โดยประมาณกันว่าน่าจะ
ก่อสร้างในราว พ.ศ. 2400 โดยในสมัยก่อนชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า วัดปากคลองบางนา แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อใหม่ไปตามสภาพภูมิประเทศและสถานที่ตั้งที่มีอีกวัดหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ตอนด้านนอกนิยมเรียกว่า วัดบางนานอก ส่วนวัดปากคลองบางนาอยู่ในที่ลุ่มด้านในจึงเรียกกันจนติดปากว่า วัดบางนาใน มาจนถึงปัจจุบันปูชนียวัตถุและโบราณวัตถุที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจให้กับนักท่อง เที่ยวและประชาชนทั่วไปคือ พระประธานอุโบสถหลังเก่าหน้าตักกว้าง 1.5 เมตร สูง 1.13 เมตร อายุประมาณร้อยปีเศษซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนในย่านใกล้เคียง พระพุทธรูปยืนทรงเครื่อง ปางรัตนโกสินทร์ยุคต้น ขนาดเท่าคนจริง หงส์สัมฤทธิ์และธรรมาสน์-บุษบก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งศึกษาพระปริยัติธรรมที่เปิดสอนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2475
























วันนี้พอมาถึงวัดบางนานอก อย่างแรกเลยผมก็มาสักการะบูชาพระพุทธรูปกันก่อน พร้อมทั้งมีการปิด
ทองพระพุทธรูป ให้อาหารปลา บริจาคเงินเพื่อปรับปรุงวัด








แต่ที่ผมประทับใจมากคือ เครื่องให้อาหารปลาแบบหยอดเหรียญ เป็นวิวัฒนาการที่ดีมาก จากสมัยก่อนแพ๊คเป็นถุงๆ สมัยนี้ หยอดเหรียญ 10 บาท แล้วนำกระป๋องไปรอง อาหารปลาแบบเม็ดก็จะไหลลงมาในกระป๋องที่เรารอง ถือว่าอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้คนที่มาให้อาหารปลาอย่างมาก











หลังจากทำบุญ ให้อาหารปลาเสร็จแล้ว เราก็มาให้อาหารโค กระบือ กัน











หลังจากทำบุญกันจนอิ่มแล้วเราก็ล้างมือ ล้างหน้า เตรียมตัวออกเดินทางไปทานอาหารกลางวันต่อ ซึ่งในย่านนี้มีห้างสรรพสินค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ซีคอนสแควร์ พาราไดซ์ เซนทรัลบางนา หรือถ้าอยากกินบรรยากาศตลาดน้ำ คุณก็สามารถข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา ไปตลาดน้ำบางน้ำผึ้งได้ แต่ต้องไปเช้าๆหน่อยน่ะครับ เพราะว่า ตลาดเค้าปิดไว ขายดีเกิน 

แล้วเจอกันใหม่น่ะครับผม ^^

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปัญหาชุมชนพรทวี

ปัญหาชุมชนพรทวี ปุณณวิถี 47 สุขุมวิท 101
ในขณะนี้ชุมชนพรทวีได้รับความเดือดร้อนเรื่องไม่มีไฟส่องทางภายในซอยยามค่ำคืน และ ที่กั้นซอยระหว่างหมู่บ้าน  สาเหตุมาจากอะไร ติดตามคลิปได้เลยครับผม




วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ห้องน้ำอาคาร 56 ปัญหาที่ควรแก้ไข


“ ห้องน้ำอาคาร 56 ปัญหาที่ควรแก้ไข ”
“ห้องน้ำ” นับว่าเป็นสถานที่ที่สำคัญมากในสถานศึกษา เพราะเป็นสถานที่ที่นักศึกษาจำนวนมากต้องใช้เป็นประจำทุกวันในการทำกิจวัตรประจำวัน ดังนั้นห้องน้ำควรจะเป็นสถานที่ที่มีความสะอาด ถูกสุขอนามัย และมีทัศนียภาพที่ดี
สำหรับห้องน้ำภายในอาคาร 56 นั้นดูเหมือนไม่เป็นเช่นนั้น เพราะทั้ง ชำรุด สกปรก และทรุดโทรม  ซึ่งถ้าเปรียบเทียบห้องน้ำอาคาร 56 กับห้องน้ำอาคาร 34 35 57  ห้องน้ำอาคาร 56 ถือว่าเป็นห้องน้ำที่มีสภาพรั้งท้ายเลยก็ว่าได้
จากการที่ได้พูดคุยกับนักศึกษาที่ใช้บริการห้องน้ำในอาคาร 56 นักศึกษาส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ แย่ ” และนักศึกษา ต้องการให้มีการปรับปรุงห้องน้ำโดยด่วน พร้อมทั้ง เพิ่มจำนวนแม่บ้านที่ดูแลรักษาความสะอาด เพื่อดูแลสุขอนามัยในห้องน้ำทั้งชายและหญิง
สาเหตุที่ทำให้ห้องน้ำอาคาร 56 สกปรก และทรุดโทรมอาจมาจากหลายประเด็น วิเคราะห์ได้ดังนี้                                         1. จากตัวนักศึกษา นักศึกษา เป็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่ใช้บริการห้องน้ำภายในอาคาร 56 ซึ่งการที่มีจำนวนประชากรในการใช้บริการห้องน้ำมาก มักจะมีผู้มักง่าย ใช้แล้วไม่รักษาความสะอาด ทำให้ส่งกลิ่นเหม็น และรวมไปถึง กลุ่มนักศึกษาผู้ทำลาย ที่เข้ามาในห้องน้ำเพื่อระบายอารมณ์ ขีดเขียน ทำลายอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ ในห้องน้ำ
2. จำนวนแม่บ้านไม่เพียงพอกับห้องน้ำ เนื่องจากห้องน้ำที่มีคนใช้จำนวนมาก ก็ควรจะมีจำนวนแม่บ้านดูแลมากขึ้น ควบคู่กันไป ซึ่งถ้าแม่บ้านไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลต่อการดูแลรักษาความสะอาด
3. อุปกรณ์ในห้องน้ำและการติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน  เพราะ เมื่อเปรียบเทียบกับห้องน้ำอาคารอื่นที่มีนักศึกษาใช้บริการเหมือนกัน แต่กลับกลายเป็นอุปกรณ์ในห้องน้ำอาคาร  56 สามารถชำรุดได้อย่างรวดเร็วกว่าห้องน้ำอาคารอื่น
นอกจากนี้ ปัญหาทั้งหลายที่กล่าวมายังไม่ได้รับการแก้ไข จากทางหน่วยงานต่างๆในคณะวิทยาการจัดการจึงอยากให้หน่วยงานต่างๆ เล็งเห็นถึงปัญหา และ เร่งแก้ไขเพื่อสุขอนามัยที่ดีของนักศึกษา และผู้ใช้บริการอื่นๆ โดยคาดการณ์ว่า ในอนาคต ทางคณะวิทยาการจัดการ จะมีการปรับปรุงห้องน้ำ เพื่อ นักศึกษา , ผู้ที่มาใช้บริการ และ สร้างทัศนียภาพ บริเวณรอบๆ ห้องน้ำให้สวยงาม
บทสรุป
ปัญหาของห้องน้ำที่สกปรก ทรุดโทรม นั้นเริ่มต้นที่พฤติกรรมของผู้ใช้ เพราะฉะนั้นการแก้ไขควรเริ่มที่การปลูกจิตสำนึก การมีจิตสาธารณะ คิดถึงผู้คนอีกจำนวนมากที่ใช้ห้องน้ำเดียวกัน แต่ทั้งนี้ถ้าปัญหาได้เกิดขึ้นมาแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าควรจะมีส่วนร่วมกันแก้ไข และ ทำการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาห้องน้ำถูกทำลาย ด้วยการเพิ่มแม่บ้านเพื่อดูแลรักษาความสะอาด และอุปกรณ์ภายในห้องน้ำให้อยู่ในสภาพดี และที่สำคัญ ข้าพเจ้าเชื่อว่า ถ้าได้มีการแก้ไข ปรับปรุงปัญหาห้องน้ำในครั้งนี้ นักศึกษาทุกคน จะร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยกันดูแลรักษาให้คงอยู่ในสภาพที่สวยงามต่อไป

ยามว่างของนักดนตรี

ยามว่างของนักดนตรี
เวลาของผมหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนมาผมมักจะนั่งตีกลอง อัดเพลง เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเอง  และนี่หล่ะครับที่ผมอยากให้นักดนตรีรุ่นหลัง เลือกที่จะทำอย่างนี้หากคุณคิดที่จะเป็นนักดนตรีตัวจริง มิใช่เพียง เล่นเพื่อเท่ห์ให้สาวๆ กรี๊ดเท่านั้น




http://www.youtube.com/watch?v=y7S9TGZArRQ  ฝากติชมด้วยน่ะครับผม

69ManGo on TV

พวกผมได้ออกรายการทีวีทางช่อง Bang channel ชื่อรายการ  ROCK WEILER

ในวันนั้นพวกผมตื่นเต้นกันมากๆครับ 



69ManGo Live

คลิปแสดงสด ของวง 69ManGo ในงานอันเดอร์กราวด์

http://www.youtube.com/watch?v=l3P4AhywHo0

งานนี้สนุกมากๆครับ ได้รับกระแสตอบรับจากคนดีเยี่ยมยอดมากๆๆ  เล่นเอาพวกผม วง 69ManGo ปลื้มใจถึงกับว่า กลับบ้านไปนอนไม่หลับกันเลยทีเดียว

ภัยร้ายใกล้ตัว สื่ออนาจาร ไอดอลที่เด็กเลียนแบบ



ภัยร้ายใกล้ตัว สื่ออนาจาร ไอดอลที่เด็กเลียนแบบ      

กระแสยอดเข้าชมขึ้นสูง กด Like ของคลิปอนาจาร เป็นการส่งเสริม หรือ ซ้ำเติม?

สื่ออินเตอร์เน็ตนับว่าเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ที่มีบทบาทสำคัญทางการสื่อสาร ปัจจุบันสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Social network หรือ เว็บไซต์ต่างๆ มีอิทธิพลอย่างมากในชีวิตประจำวันของพวกเรา ไม่ว่าจะรับข่าวสาร ค้นหาข้อมูลได้ในทุกเรื่อง และเพื่อความบันเทิงต่างๆ ในขณะเดียวกันเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาอยู่ในยุคเทคโนโลยีอันล้ำสมัย สามารถเข้าถึงสิ่งต่างๆนานาได้ภายในพริบตาเดียวเพียงแค่ปลายนิ้วคลิ๊ก ทำให้เด็กสามารถเข้าถึงสื่อเหล่านี้ได้ง่าย โดยอาจใช้บริการของร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ทั่วไป หรือในที่พักอาศัยเอง ซึ่งการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตก็มีทั้งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม
กระแสสังคม พฤติกรรมการกด  LIKE  ในยุคปัจจุบันนี้เราสามารถเห็นได้ทั่วไปไม่ว่าจะเป็น social network ต่างๆ รวมไปถึงเว็บไซต์ เช่น Youtube การกด LIKE ถ้าแปลความหมายกันอย่างตรงตัว นั่นหมายถึงผู้คนที่เข้ามาชมนั้นมีความชอบส่วนตัวกับข้อความ รูปภาพ หรือ คลิปวิดีโอ แต่พฤติกรรมการกด LIKE ของคนไทยนั้นกลับสวนกระแส และ เหมือนเป็นการส่งเสริมสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเราหยิบยกกระแสคลิป จ๊ะ วงเทอร์โบเจ้าของเพลง คันหูขึ้นมา ท่านผู้อ่านคงถึงบางอ้อถึงกระแสความแรงของคลิปนี้ที่โด่งดังไปทั่วประเทศ เป็นเรื่อง ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ในสังคมไทยกันเลยทีเดียว เพียงแค่มีผู้หญิงแต่งตัวโป๊ มายืนเต้น และร้องเพลง อะไรถึงทำให้เกิดกระแสผู้เข้าชมอย่างล้นหลามยอดคนดูใน Youtube พุ่งกว่า 17 ล้านวิว และมีการอัพเดทคลิปเพลง คันหูแต่เป็นคนละเวอร์ชั่นอรกหลายคลิป จนกระทั่งลามไปถึงหมู่เด็กและวัยรุ่นที่แห่กันเข้ามาชม กดไลค์กันอย่างไม่ลืมหูลืมตาว่าเหมาะสมหรือไม่  จากกระแสสังคมที่ให้ความสนใจจึงทำให้เกิด “พฤติกรรมการเลียนแบบ” ของเด็ก
พฤติกรรมการเลียนแบบเกิดจากการที่ตัวเด็กได้รับรู้ว่า หากทำพฤติกรรมเช่นนี้ตนเองจะกลายเป็นที่รู้จักสังคมในหมู่มาก โดยที่ไม่สนว่าจะถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ไปในทิศทางไหน ขอเพียงให้ตนเองได้เป็นที่รู้จัก เช่นพฤติกรรมการเลียนแบบของเด็กนักเรียนหญิงมัธยมต้นเต้นเปลื้องผ้ากลางห้องเรียนที่เป็นข่าว และยังมีพฤติกรรมการเปลื้องผ้าถ่ายรูปหมู่ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน การตีความที่ผิดๆของเด็กว่าถ้ากระทำเช่นนี้แล้วตนเองจะเป็นที่รู้จักของสังคม และมิหนำซ้ำ ยังมีการ อัพโหลดคลิปวิดีโอลงเว็บไซต์social media อย่างกว้างขวางและมีการ แชร์ต่างๆนานา ภายในชั่วข้ามคืน การกระทำดังกล่าวก็กลายเป็นที่ให้ความสนใจของสังคมไทยไปแล้ว พร้อมทั้งมียอดกด LIKE จำนวนมหาศาล แต่ทิศทางในการวิพากษ์วิจารณ์นั้นพวกเราคงรู้กันดีว่าไม่มีออกมาในแง่บวกเลย
เหตุการณ์นี้ทำให้เราได้รับรู้ว่า กระแสสังคมที่ทำให้ยอดผู้เข้าชมพุ่งกระฉูด พร้อมวัฒนธรรมการกด LIKE ของคลิปต่างๆนานา สวนทางกับกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ ที่มุ่งกล่าวให้เห็นถึงความวิบัติจากพฤติกรรมการลอกเลียนแบบของเด็กและเยาวชน ซึ่งสังคมไทยต้องเล็งเห็นถึงความเป็นจริง การกระทำเช่นนี้ เหมือนเป็นการที่เราไปสนับสนุนให้คนลอกเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านี้หรือไม่ และทำไมเราถึงต้องกด LIKE และติดตามคลิปการแสดงดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง สังคมเราควรจะมีการสนับสนุนอะไรบ้างที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับอนาคตของชาติ เราควรจะปลูกฝังสิ่งใดให้กับเด็ก และระเบียบวิธีการปลูกฝั่งควรจะเป็นไปในทิศทางใด   
                การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วคงจะเป็นเรื่องยาก แต่เราควรจะมุ่งการแก้ไขไปที่อนาคตว่าจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร เด็กนั้นก็เปรียบเสมือนผ้าขาว มีวิจารณญาณในการไตร่ตรองที่ต่ำ ไม่สามารถเข้าใจถึงสภาวะกระแสสังคมในปัจจุบันได้ เพียงแต่เด็กนั้นกระทำสิ่งต่างๆด้วยอารมณ์ ความรู้สึกโดยไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะตามมาในภายภาคหน้า เช่นเดียวกับคำที่ว่า “สิ่งไม่ดีเป็นสิ่งที่เลียนแบบง่ายกว่าสิ่งที่ดี” การที่สังคมยังมีพฤติกรรมกระแสเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งเสริมให้เด็กนั้นทำในสิ่งที่ผิดๆ เราควรจะเติมสีที่สวยงาม และ เป็นแบบแผน ให้กับเด็ก ไม่ใช่เพียงสาดสีสันลงไปบนผ้าขาว เติมอะไรลงไปอย่างใจนึก มิเช่นนั้น กระแสข่าวการลอกเลียนแบบพฤติกรรมที่ผิดๆ ก็จะค่อยๆทยอยออกมาให้เราได้เห็น และอาจจะมีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้นก็เป็นได้

วง 69 ManGo new single

วง 69 ManGo 

เพลงของวงผมเองครับ ชื่อวง 69ManGo ซึ่งได้ออกอั้ลบั้มกับ ทางสามย่าน Record

ชื่อเพลง เพียงอดีต

ฝากฟังและติชมด้วยน่ะครับ เป็นเพลงแนวร๊อคที่กลั่นมาจากหัวใจของพวกเราทั้ง 5 คน



"ร้านเหล้าริมรั้วมหาวิทยาลัย” ภัยคุกคามนักศึกษา


“ร้านเหล้าริมรั้วมหาวิทยาลัย” ภัยคุกคามนักศึกษา
          ปัจจุบันสถานบันเทิงหรือร้านเหล้าที่เป็นสถานที่ยอดนิยมของหมู่วัยรุ่นตั้งแต่วัยเรียน จนถึงวัยทำงานตอนต้น ที่นิยมนัดกันมาเพื่อดื่มฉลอง สังสรรค์ตามโอกาสต่างๆ เช่น วันคล้ายวันเกิด เทศกาลปีใหม่ ฯลฯ  ซึ่งการสังสรรค์ของกลุ่มวัยรุ่นมักจะสังสรรค์กันในยามค่ำคืน  จึงทำให้เกิดร้านเหล้า หรือ สถานบันเทิงขึ้นมามากมายตามพื้นที่ต่างๆที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไปของนักท่องราตรี แต่สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นและนำมาซึ่งปัญหาของร้านเหล้า นั่นคือ “ร้านเหล้าริมรั้วมหาวิทยาลัย
             กล่าวถึงสถานบันเทิง หรือร้านเหล้าบริเวณมหาวิทยาลัย เนื่องจากร้านเหล้าบริเวณมหาวิทยาลัยได้มีการกระจายอยู่ทุกพื้นที่ในทุกๆสถาบันในปัจจุบัน จึงขอหยิบยกปัญหาในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตขึ้นมา ซึ่งปัญหาร้านเหล้าบริเวณของมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 2 นั้น เกิดขึ้นมายาวนานกว่า 8 ปี
ชุมชนสวนอ้อยนั้นเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 60 ไร่ซึ่งใกล้กับบริเวณมหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่งนี้ เพียงแค่ข้ามถนนราชวิถีไปอีกฟากฝั่งหนึ่งก็จะพบกับชุมชนสวนอ้อย ภายในชุมชนเต็มไปด้วยบ้านพักอาศัยของผู้คนในชุมชน ร้านค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านชำ ร้านเสริมสวย ร้านอาหารสำหรับผู้คนในชุมชน นักศึกษา กลุ่มคนทำงานในย่านนั้นได้แวะมารับประทานอาหารกัน และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ในชุมชนที่ติดกับมหาวิทยาลัย นั่นก็คือ หอพักนักศึกษา
            ในระยะเวลาที่ผ่านมาชุมชนสวนอ้อยนั้น มีหอพักนักศึกษากว่า 20 หอพักไม่ว่าจะเป็นแบบถูกกฎหมายหรือผิดกฏหมายก็ตาม จึงทำให้ประชากรในชุมชนเพิ่มมากขึ้น และส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาพัก จึงทำให้ชุมชนคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น เพราะเหตุนี้จึงทำให้มีร้านเหล้าผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ และมีจำนวนเพิ่มเป็นทวีคูณ ส่วนใหญ่ผู้ที่เข้ามาเปิดสถานบันเทิงมักจะเป็นคนนอกพื้นที่
จากการที่ได้พูดคุยกับประธานชุมชนสวนอ้อย คุณเกรียติก้อง ท่านได้เล่าให้ฟังว่า เริ่มจากคู่สามีภรรยา โดยสามีเป็นคนต่างชาติ และภรรยาเป็นคนไทย ทางด้านสามีฝรั่งได้เห็นว่าในชุมชนแห่งนี้มีวัยรุ่นอาศัยอยู่มากมายจึงคิดเปิดสถานบันเทิงขึ้นมา เพื่อให้วัยรุ่นได้เข้ามาเที่ยว สร้างความบันเทิง หลังจากเปิดขึ้นมา ก็มีกลุ่มนายทุนที่เล็งเห็นกลุ่มนักศึกษาเป็นกลุ่มเป้าหมายในการค้าขายสุราและเครื่องดื่มมึนเมาทั้งหลาย ทยอยกันเข้ามาเปิดกิจการร้านเหล้า หรือสถานบันเทิง จนกระทั่งในระยะเวลาหนึ่งในชุมชนสวนอ้อยได้มีร้านเหล้าเกิดขึ้นมากกว่า 20 ร้าน ภายในระยะเวลา 2-3 ปีเท่านั้น ซึ่งสร้างความวุ่นวาย ให้กับผู้คนในชุมชนเป็นอย่างมาก ชาวบ้านจึงขนานนามให้สถานบันเทิงเหล่านี้ว่า “RCA 2
ในระยะเวลาต่อมาทางคณะกรรมการชุมชนได้เล็งเห็นถึงปัญหาทั้งหลายจากร้านเหล้าภายในบริเวณชุมชนจึงได้ทำการดำเนินเรื่องไปยังผอ.สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพราะเนื่องจากพื้นที่ในบริเวณชุมชนเป็นพื้นที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ทางสำนักงานลงมาตรวจพื้นที่และเห็นถึงปัญหาสถานบันเทิงภายในชุมชน จึงทำให้แหล่งร้านเหล้าลดลงแต่ไม่สามารถกำจัดแหล่งร้านเหล้าต่างๆนานาให้หมดไปได้ เพราะร้านบางส่วนมีอำนาจของเม็ดเงินที่สูงซึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการทำให้กิจการของตนสามารถเปิดกิจการต่อไปได้
ถึงแม้จะมีจำนวนสถานบันเทิงลดน้อยลงกว่าเมื่อก่อน แต่ปัญหาของร้านเหล้าในชุมชนก็ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากมีการสลับสับเปลี่ยนกันมาเปิดร้าน บ้างก็เปลี่ยนชื่อ บ้างก็ หน้าใหม่มาลงทุน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวนักศึกษาที่มาอยู่อาศัยหอพักในชุมชน หอพักที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ใกล้เคียงที่สุด คือ หอพักนิดา และหอพักบ้านสุขสบาย ในช่วงเวลา 20.00 น. ร้านเริ่มเปิดเพลงเพื่อเรียกบรรดานักศึกษาทั้งหลายให้เข้ามานั่งสังสรรค์กันภายในร้าน และหลังจากนั้น ก็จะเพิ่มดีกรีความดังขึ้นเรื่อยๆ และปัญหาที่ตามมานั้นยังมีอีกมากมาย  ดังนี้
1.ปัญหาการจราจรติดขัด เพราะนักศึกษาบางคนนำรถยนตร์ส่วนตัวมาเอง และจำเป็นต้องจอดริมทางเท้าบริเวณหน้าร้าน และซึ่ง การจราจรในชุมชน เป็นถนน 2  ช่องทาง สวนกันเข้า-ออก ทำให้เกิดการจราจรติดขัด
2.ปัญหาทางเท้าที่ไม่สามารถใช้การได้ เนื่องจากในช่วงเวลาร้านเปิด ทางร้านจะให้พนักงานนำโต๊ะ เก้าอี้ออกมาตั้งเรียงรายเต็มทางเท้า เพื่อให้นักศึกษาได้นั่งกัน
3.ปัญหาขยะ สืบเนื่องต่อจาก โต๊ะที่เรียงรายตามทางเท้า พอถึงเวลาร้านปิด ทางร้านจะเก็บโต๊ะ เก้าอี้ทั้งหลาย แต่ทิ้งเศษขยะจากการสังสรรค์ไว้อย่างเดิมไม่ว่าจะเป็น เศษแก้ว กระดาษชำระ จานกระดาษ ฯลฯ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ เป็นปัญหาที่ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน
แต่ปัญหาที่เกิดโดยตรง และส่งผลกระทบให้กับนักศึกษา จากการลงพื้นที่ เราได้ข้อมูลว่า นักศึกษาบางคนที่อยู่หอพักมักจะไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือ ยิ่งใกล้ช่วงฤดูสอบปัญหาร้านเหล้า ส่งผลกระทบต่อนักศึกษาที่ไม่เที่ยวสถานบันเทิงเป็นอย่างมาก เพราะทำให้อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง  ต่อมานักศึกษาที่เที่ยวส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาของการเรียนไม่จบ เพราะมัวเมากับสถานบันเทิง บางรายเป็นลูกค้าประจำ เข้ามานั่งดื่มสุราทุกวัน และส่งผลให้เกิดปัญหามากมายต่อตัวนักศึกษา เช่น การทะเลาะวิวาท ของกลุ่มนักศึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ไม่ชอบหน้ากัน แย่งผู้หญิงกัน ส่วนทางด้านนักศึกษาที่เป็นผู้หญิง เที่ยวจนเงินไม่พอใช้ จึงเกิดการชักชวนไปทำงานในทางที่ผิดๆ เช่น การค้าประเวณี ของกลุ่มนักศึกษาสาว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วในสังคมนักศึกษาปัจจุบัน
ทางชุมชนพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะกำจัดสถานบันเทิงทั้งหลายเหล่านี้ออกไป ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งตำรวจ แต่เนื่องจาก การเปิดร้านเหล้านั้น ตำรวจเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากร้านเหล้าต่างๆ ในชุมชนสวนอ้อย ถึงเวลาเราแจ้งไปเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้แค่ ลงมาตักเตือน แต่ไม่ได้ทำการสั่งปิด ซึ่งเราได้รับข้อมูลว่าร้านเหล้าทั้งหลายที่เปิดอยู่ในบริเวณสวนอ้อยนั้น ล้วนแต่เป็นร้านเหล้าที่ผิดกฎหมาย แต่ไม่สามารถเอาผิดกับใครได้เลย
ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นภัยที่คุกคามนักศึกษาทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเที่ยว ที่อาจจะหลงมัวเมากับ แสง สี เสียงในยามค่ำคืนของร้านเหล้าต่างๆ ในชุมชน หรือกลุ่มนักศึกษาที่อยู่หอพักในบริเวณชุมชนสวนอ้อยซึ่งได้รับผลกระทบทางเสียงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ปัญหาทั้งหมดนี้ควรต้องเร่งแก้ไข โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นตัวนักศึกษาเอง หรือทางมหาวิทยาลัยในการกวดขัน และหน่วยงานของรัฐทุกฝ่าย เช่น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำรวจในท้องที่(สน.สามเสน) สำนักงานเขต หากร้านเหล้าในชุมชนสวนอ้อยได้ปิดกิจการลง คาดการณ์ว่า สถานการณ์ภัยคุกคามนักศึกษาคงจะหมดไปในอนาคต

ละครชีวิตยามค่ำคืน “โสเภณี สนามหลวง – คลองหลอด”


ละครชีวิตยามค่ำคืน “โสเภณี สนามหลวง – คลองหลอด”
“ท้องสนามหลวง” เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน เกิดขึ้นมาพร้อมๆกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นลานโล่งกว้างใช้ประกอบพระราชพิธีต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พระราชพิธีพืชมงคล พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ฯลฯ รวมถึงเป็นที่สร้างพระเมรุมาศเพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ไทยรวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงมาแล้วทุกยุคทุกสมัย เดิมสนามหลวงมีชื่อว่า  “ ทุ่งพระเมรุ ” ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่4)ทรงโปรดเกล้าให้เปลี่ยนชื่อจาก ทุ่งพระเมรุ ซึ่งฟังดูไม่เป็นมงคลให้เป็นชื่อที่พวกเราคุ้นหูกันดีนั่นก็คือ “ท้องสนามหลวง
หากเปรียบสนามหลวงเป็นคน สนามหลวงก็น่าจะเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาอย่างยาวนาน และมีส่วนร่วมในความเปลี่ยนแปลง มองเห็นความเป็นไปของบ้านเมืองมาทุกยุคทุกสมัยและถ้าหากเปรียบสนามหลวงเป็น “โรงละครโรงใหญ่” สนามหลวงก็คงจะเป็นโรงละครที่ไม่เคยรูดม่านปิดฉากไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือเวลากลางคืน
เมื่ออาทิตย์เคลื่อนผ่านลงพ้นขอบเมฆ ฝูงนกประจำถิ่นเริ่มบินกลับรังนอน แสงไฟรอบๆท้องสนามหลวงเริ่มสว่างขึ้น นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า “ละครชีวิต” ในโรงละครใหญ่แห่งนี้ในฉากยามค่ำคืนกำลังจะเปิดฉากขึ้น ตัวละครนิรนามจำนวนหนึ่งที่แฝงเร้น ซ่อนตัวอยู่ในเวลากลางวันของท้องสนามหลวง ค่อยๆตื่นขึ้นจากการหลับใหล ผลักร่างตนเองขึ้นตามซอกมุมต่างๆของท้องสนามหลวงเพื่อที่จะนำพา ละครชีวิต ร้อง เล่น เต้น ไปตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายจากโชคชะตา
หลายชีวิตบนท้องสนามหลวง ผู้คนเหล่านี้เหล่านี้มีชีวิตอยู่แต่แทบไม่ถูกมองเห็น หรือ ถูกมองเห็นแต่ก็ถูกมองเห็นอย่างไร้คุณค่าเหมือนกับไม่มีตัวตนในสังคม ละครชีวิตบนท้องสนามหลวงแทบจะไม่แตกต่างอะไรกับย่านการค้าสำคัญหลายๆแห่งในกรุงเทพมหานครฯ ที่ยิ่งดึกยิ่งเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่มิใช่สินค้าที่ถูกวางอย่างมากมายกลับกลายเป็นเหล่าบรรดาคนจรจัด ผู้ยากไร้ และรวมไปถึง โสเภณี
บนถนนสายธุรกิจกามอารมณ์ที่หมองหม่นและแฝงกลิ่นอายบาปจากบริเวณรอบสนามหลวง ข้ามไปถึงริมคลองหลอดทอดยาวเข้าไปในตรอกซอกซอย ที่เหล่าโสเภณีต้องเดินเข้าออกคืนแล้วคืนเล่า มีเหยื่อเนื้ออ่อนของชายนักท่องเที่ยวทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ ยืนเรียงรายอยู่ข้างทางไม่ต่ำกว่า 100-200 คนในแต่ละคืน มีตั้งแต่โสเภณีวัยกระเตาะ เด็กสาวแรกรุ่น สาวใหญ่วัย 30 ขึ้นไป จนถึงผู้หญิงวัยกลางคน ยืนเฝ้ารอลูกค้าคนสำคัญที่จะแวะเข้ามาเยี่ยมเยียน และเป็นแหล่งรายได้ของพวกเธอ
บทบาทในยามค่ำคืนของบรรดาโสเภณีบริเวณสนามหลวง-คลองหลอด หรือ ที่ผู้คนให้ฉายาว่า  “ผีขนุน-ผีมะขาม” นั้น ดำเนินไปอย่างราบเรียบ จำเจ พวกเธอตัดสินใจพร้อมที่จะนำเนื้อตัวร่างกายของพวกเธอมาให้ชายหนุ่มเสพสุข เพื่อ แลกกับเม็ดเงินเพียง 300-700 บาท และเด็กสาวบางกลุ่ม ต้องเสียค่านายหน้าให้กับเหล่าบรรดา “แม่” ของพวกเธออีกต่างหาก เหล่าบรรดา ผีขนุน ผีมะขามทั้งหลาย ดำเนินชีวิตตามบทละครที่ไม่มีผู้กำกับสั่ง “คัท” พวกเธอดำเนินเรื่องไปตามบทบาทแห่งโชคชะตา(กรรม)
ฝาผนัง เพดานห้อง และน้ำหนักกดทับบนเรือนร่างที่ไร้อาภรณ์สวม เป็นความเคยชินที่ เก๋สาววัยกลางคนต้องพานพบซ้ำแล้วซ้ำอีกวันละหลายๆ รอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หัวใจหญิงสาวแตกสลายไปนานแล้ว ตั้งแต่ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจกามอารมณ์เมื่อหลายปีก่อน ทุกวันนี้เธอพร้อมมีเซ็กส์กับใครก็ได้ ขอเพียงให้คนผู้นั้นมีเงินมาแลกกับมัน เก๋ อาศัยเงามืดของต้นมะขามริมสนามหลวงฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อำพรางริ้วรอยความบอบช้ำของชีวิต ต่างจากเด็กสาวกลุ่มใหญ่ที่ยืนทอดน่องต่อรองราคากับหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ถัดออกไปจากเธอประมาณ 20 เมตร เด็กกลุ่มนั้นอายุเฉลี่ยไม่น่าเกินสิบสามสิบสี่ปี จึงกล้าเผชิญแสงไฟส่องสว่างอย่างไม่สะทกสะท้าน
             ทุกค่ำคืนเธอจึงต้องอาศัยเงามืดของต้นไม้เป็นทำเลหลอกล่อชายตาถั่วหอบหิ้วเข้าโรงแรม ทุกวันหลังจากส่งลูกค้ารายสุดท้ายขึ้นสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เก๋ จะหอบร่างอันไร้เรี่ยวแรงกลับเข้าห้องเช่า และทันทีที่หัวถึงหมอนเธอจะหลับเป็นตาย ก่อนจะตื่นขึ้นมาสู้ชีวิตต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น  เว้นเสียแต่วันที่มีประจำเดือน ห้องเช่าแคบๆ ห้องนี้จึงเป็นที่ซุกหัวนอนของหญิงสาวตลอดวันและคืน  มีบางครั้งที่หนุ่มน้อยมือใหม่หัดขับ เจียดเงินค่าขนมที่ผู้ปกครองให้มาแลกซื้อประสบการณ์ชีวิต หรือที่เรียกกันว่า ขึ้นครูเด็กพวกนี้เขาไม่ชอบสวมปลอกนิรภัย ต้องปลอบต้องขู่สารพัดจึงยอมสวมใส่ บางรายดื้อไม่ยอมทำตามก็จะคว้าเจลหล่อลื่นมาถือไว้ในมือ และบอกกับพวกเขาว่าเป็นยาฆ่าเชื้อ
             หากทะว่าแต่ภาพเหล่านี้ที่เราคุ้นเคยกลับหายไปในช่วงเวลาระยะหลังมานี้  โชคชะตาทำให้เหล่าบรรดาผีมะขาม ผีขนุน ต้องอพยพแหล่งทำมาหากินผ่านธุรกิจกามอารมณ์นี้จากท้องสนามหลวงม่านฉากที่ปิดลงทำให้บรรดาผู้คนเหล่านี้ต่างต้องระหองระแหง อพยพย้ายถิ่นทำมาหากินของตนเองไปยังสะพานพุทธยอดฟ้า ด้วยเหตุที่ทำให้ม่านฉากโรงละครชีวิตที่ต้องรูดปิดลงเนื่องจากทางกรุงเทพมหานคร
นำโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้จัดเปิดโครงการปรับปรุงท้องสนามหลวง ตั้งแต่ต้นปี 2553 ที่ผ่านมา จนกระทั่งได้มีพิธีเปิดเมื่อ 9 สิงหาคม 2554 ซึ่งในการปิดปรับปรุงท้องสนามหลวงในครั้งนี้ ทางกรุงเทพมหานครได้มีการวางมาตรการในการดูแลพื้นที่โดยรอบพื้นที่ของท้องสนามหลวงโดยไม่อนุญาตให้วางแผงร้านค้า และ การค้าประเวณีเกิดขึ้นเฉกเช่นแต่ก่อน
             นี่คือละครชีวิตที่ไม่มีวันจบวันสิ้นของ โสเภณี แห่งท้องสนามหลวง ไม่ใช่เพียงร่างกายที่ถูกย่ำยี แต่ผู้หญิงเหล่านี้ยังถูกเหยียบย่ำทำลายความรู้สึกและศักดิ์ศรีจนแทบไม่เหลือความเป็นมนุษย์มาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย แต่หากได้นั่งลงพูดคุยด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง เราอาจพบคำตอบว่า โสเภณีสนามหลวง ก็คือหนึ่งในเหยื่อที่สะท้อนซากปรักหักพังของระบบสังคม เช่นเดียวกับอีกหลากหลายชีวิตที่โลดแล่นอยู่บน โรงละครชีวิต ที่ชื่อว่า ท้องสนามหลวง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามขอให้เชื่อว่า เส้นทางสายนี้ ไม่ใช่ความใฝ่ฝันอันสูงสุดของผู้หญิงคนไหน

ข่าวน้ำในมรภ.สวนสุนันทาไม่ได้มาตรฐาน


น้ำในอาคารศูนย์สุขภาพและกีฬาไม่ได้มาตรฐาน
กรมอนามัยสั่ง เร่งแก้ไขด่วน
วันที่ 9 ตุลาคม 2554 กรมอนามัย สังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลความสะอาดของ อาหาร น้ำ และ สิ่งแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้มีการตรวจพบว่า น้ำที่ใช้สำหรับการอุปโภค-บริโภค ภายในศูนย์นั้นไม่ผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนดจึงได้นำเรื่องแจ้งไปยัง รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาให้เร่งแก้ไขโดยด่วน
            ทีมงานจากกรมอนามัยที่เข้ามาตรวจสอบเป็นหน่วยงานสายสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ และ กองประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ นำทีมโดย นาง นภพรรณ นันทพงษ์  นักวิชาการสาธารณสุข ชำนาญการพิเศษ เข้ามาตรวจสอบโดยเริ่มจากการเก็บตัวอย่างอาหาร น้ำสำหรับอุปโภค-บริโภค และ ตรวจสอบสภาพแวดล้อม ขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูลต่างๆ ทางด้านเรื่องอาหาร และ สิ่งแวดล้อมภายในศูนย์นั้นอยู่ในเกณฑ์ดี แต่พบปัญหาเกี่ยวกับน้ำที่ใช้สำหรับการอุปโภค-บริโภค
            จากการตรวจวัดโคลิฟอร์ม ในน้ำ พบ สารโคลิฟอร์มปนเปื้อนในน้ำ 6 จาก 7 ตัวอย่างที่เก็บไป ซึ่งการที่พบโคลิฟอร์มแบคทีเรียในน้ำดื่มน้ำใช้  แสดงว่าน้ำไม่สะอาด มีสารปนเปื้อน จึงแจ้งไปยัง              ผศ.ดร.สมเกรียติ กอบัวแก้ว รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา และได้มีการตรวจสอบแหล่งที่มาความไม่สะอาดของน้ำ ว่ามาจากการประปา หรือ จากถังพักน้ำของอาคาร ด้วยการตรวจหาคลอรีนในน้ำจากถังพักน้ำใต้อาคารศูนย์สุขภาพและกีฬาสวนสุนันทา พบว่า น้ำที่มาจากท่อประปานั้นมีสารคลอรีนตกค้างซึ่งบ่งชี้ว่า น้ำจากการประปานั้นมีความสะอาด แต่ในขณะเดียวกัน ในถังพักน้ำใต้อาคารกลับไม่พบคลอรีน จึงทำให้รู้ที่มาของปัญหา จึงได้เสนอวิธีแก้ไขด้วยการโยนเม็ดคลอรีน ลงในถังพักน้ำใต้อาคาร
            “ เรานำคลอรีนเม็ดมาเติม โดยวัดจากขนาดถังพักน้ำภายใต้อาคาร แล้วจึงเติมคลอรีนลงไปให้ได้สัดส่วนกับน้ำในปริมาณถัง ” นางนภพรรณ นันทพงษ์ กล่าว
แต่เนื่องจากถังพักน้ำใต้อาคารเป็นแบบลูกลอย ซึ่งจะทำให้มีการหมุนเวียนของน้ำตลอด กรมอนามัยจึงเสนอแนวทางแก้ไข ให้ติดตั้งเครื่องวัดระดับคลอรีนอัตโนมัติขึ้น เพื่อจะได้สามารถวัดระดับคลอรีนในน้ำได้ตลอด ส่วนทางด้านของน้ำดื่ม ทางทีมงานได้สันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากภาชนะที่บรรจุน้ำไม่สะอาด หรือ ระหว่างการเคลื่อนย้ายนั้น เคลื่อนย้ายไม่ถูกวิธี จึงได้มีการอบรมการเคลื่อนย้ายน้ำดื่ม และขั้นตอนวิธีการทำความสะอาดให้กับเจ้าหน้าที่ทางศูนย์พักพิงชั่วคราว
หลังจากผศ.ดร.สมเกรียติ กอบัวแก้ว ได้รับเรื่องเกี่ยวกับคุณภาพน้ำของอาคารที่ไม่ได้มาตรฐานแล้ว จึงเร่งดำเนินการแก้ไขโดยด่วน โดยได้รับคลอรีนเม็ด จาก กรมอนามัย เพื่อนำมาเติมลงถังพักน้ำ และ ดำเนินการตามที่กรมอนามัยได้มาแนะนำเกี่ยวกับเรื่องความสะอาดของภาชนะบรรจุน้ำดื่ม และวิธีการขนย้าย เพื่อ น้ำที่ใช้อุปโภค – บริโภคที่สะอาดแก่บุคลากรและนักศึกษา
            “เราจะเร่งดำเนินการแก้ไขทันที เพราะเราห่วงว่าถ้าเกิดโรคระบาดขึ้น จะเกิดความเสียหายต่อผู้ที่มาพักพิงที่สวนสุนันทาแห่งนี้” รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา กล่าว